ผมแปลข่าวเกี่ยวกับสถานการณ์ของเสรภาพในประเทศอื่นมาให้ลองอ่านดู มาจากเวบบีบีซีเดือนที่แล้ว
จะได้รู้ว่า "เราไม่ได้สู้คนเดียว" เชิญอ่านครับ
---------
ชีวิตที่ไม่แน่นอนของเหล่าศิลปินซีเรีย
มาร์ติน อัสเซอร์ นักข่าวบีบีซีพาเราไปดูวงการศิลปะในรัฐตำรวจ
ซึ่งได้ปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นมาเป็นระยะเวลาหลายปีแล้ว
ผมพยายามจะซื้อหนังสือต้องห้ามที่เขียนโดยนักเขียนใหญ่ของวงวรรณกรรมซีเรียในดามัสกัส ซึ่งผมก็แปลกใจว่าหาได้มีอุปสรรคใดไม่
คนขายโทรสั่งสายส่งแถวๆนั้น เด็กในร้านออกไปและไม่นานก็กลับมาพร้อมกับหนังสือที่ผมต้องการ เขาใส่ในถุงและพับไว้อย่างแอบๆ
จริงๆแล้วผมต้องสารภาพเลยว่าผมผิดหวังจากการพยายามลองของข้าม “เส้นแดง” อันมีชื่อเสียงของซีเรีย
เส้นแดงที่ว่าเป็นข้อห้ามโดยรัฐบาลเผด็จการของซีเรียเรื่องการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในสาธารณะเกี่ยวกับการเมือง ระบอบอัซซาดที่กำลังครองอำนาจอยู่ หรือเกี่ยวกับกองกำลังรักษาความมั่นคง
แล้วผมมายืนอยู่ในร้านหนังสือใจกลางเมืองหลวงของซีเรีย และเพิ่งจะซื้อหนังสือประเภทข้ามเส้นแดงเรื่อง In Praise of Hatred ของคาลิด คาลีฟา ได้อย่างไรกันเล่า?
และแล้ว ผมก็ไม่รู้จะมีความสุขหรือทุกข์ดี เมื่อความศักดิ์สิทธิ์ของระบอบเผด็จการซีเรียได้กลับมาทันทีที่ผมขอใบเสร็จ
“ผมไม่สามารถให้คุณได้ครับ” คนขายบอก “มันเป็นหนังสือต้องห้ามน่ะครับ ให้ผมลงชื่อเป็นหนังสืออื่นในราคาเดียวกันแล้วกันนะครับ”
ซึ่งเขาก็ได้ขายนิยายเรื่องนั้นให้กับผม
ในชื่อ In Praise of Women
สถาวะของความไม่แน่นอน
“มันกลายไปเป็นเหมือนเกมระหว่างพวกเราและเจ้าหน้าที่รัฐ” เขาบอกกับผม “เราเขียนอะไรก็ได้ที่เราต้องการ และพวกเขาก็จะพูดอะไรที่พวกเขาต้องการเช่นกัน จริงอยู่ที่นิยายของผมถูกแบนที่นี่ แต่คุณรู้ไหม เขาพูดว่าหนังสือมีปีกและสามารถบินข้ามพรมแดนใดๆก็ได้”
In Praise of Hatred เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการเพิ่มขึ้นของกลุ่มคลั่งศาสนาหัวรุนแรงในซีเรีย ซึ่งนั่นก็ยากที่จะทำให้มันไม่ได้รับความสนใจ พอมันตีพิมพ์ไปไม่นานในปีนี้ (2008) มันก็เข้าไปอยู่ในชอร์ตลิสต์ของรางวัลนานาชาติสำหรับนิยายอาระบิกที่จัดขึ้นเป็นครั้งแรก และเป็นการประกวดที่มีมูลนิธิบุกเกอร์ ไพรซ์ให้การสนับสนุน
“เวลานี้เราอยู่ในระยะแห่งการเปลี่ยนผ่าน” คาลีฟาพูดถึงช่วงระยะเวลาแปดปีครึ่งตั้งแต่ประธานาธิบดีบาชา อัล อัสซาด ขึ้นมาสู่อำนาจต่อจากบิดาของตน
คาลีฟาบอกว่าในช่วงตั้งแต่ปี 2000 เสรีภาพได้พัฒนาไปมาก หากแต่กลับมาสู่จุดตกต่ำในปี 2006 เมื่อรัฐจับกุมนักเขียนนามมิเชล กิโล และผู้ต่อต้านคนอื่นๆ ที่เรียกร้องให้ซีเรียยกเลิกการปฏิบัติตนแบบรัฐตำรวจต่อเลบานอน
“มันเป็นภาวะอึมครึมทีเดียว ไม่มีใครรู้ว่าอิสรภาพกำลังมาหรือกำลังหายไป อย่างเช่นว่า แม้รัฐจะเข้มงวดกับอินเตอร์เนต แต่ก็ไม่ได้คุมขังคนที่แสดงความเห็นออกมา”
คาลีฟาเป็นสมาชิกของชุมชนศิลปินซีเรีย เขาสนับสนุนการถกเถียงกับรัฐเพื่อมุ่งหวังว่า เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นจะเปิดกว้างมากขึ้นในประเทศนี้
ช่วงท้ายๆของงาน ฮาลา ไฟซาล ซึ่งเป็นทั้งนักวาดและนักร้อง ขึ้นร้องเพลงบัลลาดยอดนิยม ได้รับเสียงปรบมือดังกระหึ่ม
ไฟซาลใช้ชีวิตเกือบทั้งหมดของเธอในการถูกเนรเทศ ก่อนหน้านี้เธอไปทำงานในนิวยอร์คและปารีส เวลานี้เธอกลับมาซีเรียได้สองปีครึ่งแล้ว และหวังว่าจะเห็นซีเรียเป็นบ้านได้อีกครั้ง
หากแต่เมื่อเราพบกันในสองสามวันต่อมา เธอกล่าวด้วยความรู้สึกปวดร้าวว่าถึงเวลาต้องไปอีกแล้ว เธอไม่ได้อยากเล่ารายละเอียดของมันมากนัก แต่จากภาษาอังกฤษอันกระท่อนกระแท่น เธอกล่าวว่า
“อาจเป็นเพราะการเมือง ที่พวกเขาบีบบังคับให้ฉันลี้ภัยอีกครั้ง การที่ต้องยอมรับกฎหายบางอย่างที่เราไม่เห็นด้วยเพื่อที่จะให้อยู่ที่นี่ได้นั้นไม่ใช่ตัวฉันเลย ฉันต้องซื่อสัตย์กับตนเอง ฉันไม่สามารถใช้ชีวิตต่อไปโดยปิดตาข้างหนึ่งได้ อย่างน้อยมันก็ทำให้ฉันมีความสุขก่อนเข้านอนในทุกคืน”
มันดูเหมือนเป็นเป็นโศกนาฏรรมสำหรับซีเรีย ในขณะที่ดามัสกัสเป็นศูนย์กลางทางวัฒนธรรมของโลกอาหรับ กลับต้องมีคนอย่างไฟซาลที่จะต้องตัดสินใจว่า คุณจะเลือกปิดตาข้างหนึ่งหรือคุณจะเลือกเก็บของแล้วจากไป
แต่นักทำหนังสารคดีผู้มีประสบการณ์ – โอมาร์ อามิราไล ซึ่งหนังของเขาหลายเรื่องถูกแบนทั้งในซีเรียและในโลกอาหรับมาเป็นเวลาหลายสิบปี ได้กล่าวว่านี่คือสิ่งที่ระบบการเมืองของซีเรียต้องก้าวผ่าน
รัฐ “จะรู้ว่าประชาชนไม่ได้เชื่อในอุดมการณ์ของพวกเขา” เขาบอกกับผม
“สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ เมื่อคนไม่ยืนหยัดต่อสู้กับระบอบ ระบบ หรือกับรัฐ เพื่อแสดงถึงความไม่เห็นด้วยแล้วล่ะก็ ความคิดการต่อต้านหรือการประท้วงก็เท่ากับได้หายไปจากความคิดของเขาแล้ว”
1 comment:
ขอบคุณมากนะครับ สำหรับบทความ
Post a Comment