Saturday, January 16, 2010

ส.ค.ส.ปีใหม่


"ปีใหม่ฝรั่ง" หรือ "ปีใหม่สากล" เวียนมาถึงอีกครั้ง เห็นตามธรรมเันียมจะมีการส่งความสุขกันด้วยข้อคิดดีๆ (?) โดยเฉพาะจากบุคคลสำคัญทั้งหลาย


โดยการให้ข้อคิดในช่วงปีใหม่ ได้กลายไปเป็นหน้าที่สำหรับกลุ่มคนที่มีทุนทางสังคมมหาศาลช่วยชี้แนะชาวไทยให้ปฏิบัติตนอย่างถูกต้องตาม "ศีลธรรม" ชุดหนึ่งที่เป็นหลักควบคุมสังคมไทยเอาไว้


"บ้านเขตดุสิต" จึงขอตามกระิแสไปด้วยคนหนึ่้ง แม้จะตระหนักว่าไม่มีทุนทางสังคมใดๆเทียบเหล่าท่านผู้ซึ่งมากด้วยบารมี แต่จะขอเสือกส.ค.ส นี้ไปถึงคนธรรมดาๆ ที่เชื่อว่าเรามีความเท่าเทียมกันตามปรัชญาพื้นฐานของสังคมประชาธิปไตย (แม้จะมีคนไม่เชื่อก็ตาม)


พอดีัช่วงเวลานี้อ่านนิตยสารเป็นนิตย์ แต่ไม่ได้เป็นนิตยสารของปัจจุบัน เป็นสิ่งพิมพ์ที่อ่านแล้วสนุกมาก และหาอ่านได้ยากด้วย นั่นก็คือ จดหมายเหตุสยามไสมย ของหมอสมิธ นั่นเอง (สำนักพิมพ์ต้นฉบับนำมาพิมพ์เพื่อรักษาเอาไว้ หน้าปกหนังสวยงาม นับเป็นอีกหนึ่งความพยายามที่ดีเยี่ยม โดยมีทั้งหมดสามเล่ม เล่มแรกเป็นต้นฉบับเล่ม ๑ และ ๒ รวมกัน ซึ่งเป็นจดหมายเหตุฯที่พิมพ์เมื่อ พ.ศ.๒๔๒๕-๖ เล่มสองเป็นต้นฉบับเล่ม ๓ (พ.ศ.๒๔๒๗) และเล่มสุดท้ายเป็นต้นฉบับเล่ม ๔ (พ.ศ.๒๔๒๘) โดยแรกเริ่มพิมพ์เป็นรายเดือนในปีแรก ปีต่อมาเป็นรายปักษ์ และรายสัปดาห์ตามลำดับ)

พอดีในฉบับหนึ่งมีลงนิทาน "คำเปรียบด้วยตัวฬา" ลงในเล่มที่ ๑ แผ่นที่ ๑๑ หน้า ๑๑ (ตัวเลขเป็นมงคลอย่างนี้ ซื้อหวยได้เลย อ้อ! ต้องรีบๆนะครับ เขาจะให้เลิกมีหวยแล้ว)

ก็ขอลักมาเป็นส.ค.สเสียเลย (สะกดตามต้นฉบับ)
มีคนช่างทำแป้งเข้าสาลีคนหนึ่ง กับบุตรชายคนหนึ่ง ได้ไล่ฬ่าตัวหนึ่งไปขายที่ตลาด ครั้นเมื่อไปได้่หน่อยหนึ่ง จึ่งได้ภบพวกหญิงสาวหลายคน แล้วพวกหญิงนั้นครั้นเห็นชายเจ้าของฬาสองคนพ่อลูกนั้น เดิรตามฬาไป จึ่งหัวเราะเยาะแล้วพูดกันว่า เรายังไม่้เคยเหนคนโง่เขลาเหมือนเช่นนี้เลย ครั้นพอได้ยินดังนั้น จึ่งให้ลูกขึ้นขี่ฬาไป แต่ตัวพ่อนั้นเิดิรตามฬาไป ครั้นไปอีกหน่อยหนึ่งจึ่งภบคนแก่เถีัยงกันอยู่ ครั้นคนแก่นั้นได้เหนลูกชายนั่งไปบนหลังฬา แต่พ่อนั้นเดิรไปจึ่งพูดกันว่าท่านได้เหนคนโฉดนั้นนั่งไปบนหลังฬาฤๅไม่ การนี้เปนความดูหมิ่นคนแก่หนักหนา อ้ายเดกซุกซนเอ๋ย จงลงเสียจากหลังฬาเถิด ครั้นเด็กนั้นได้ยินแล้วจึ่งโจนลงเสียจากหลังฬา แล้วจึ่งให้บิดาขึ้นไปนั่งบนหลังฬา ครั้นไปได้ประมาณครู่หนึ่ง ตามหาดทราย จึ่งไปภบหญิงทำการอยู่้หลายคน เขาร้องว่าชายคนนี้ไม่มีใจเอนดูลูกบ้างเลย ให้ลูกลงเดิรไปตามหาดทรายที่ลุ่มฦกนัก ส่วนตัวนั้นขึ้นนั่งไปบนหลังฬาสบายแต่ตัวผู้เดียว ครั้นเมื่อคนช่างทำแป้งเข้าสาลีนั้นได้ยิน จึ่งเรียกให้ลูกขึ้นไปนั่งบนหลังลาด้วยกันทั้งสองคน มาตามทางโดยลำดับจวนใกล้ถึงตลาด จึ่งปะคนเลี้ยงแกะ เขาจึ่งถามว่านี่เปนฬาของท่านดอกฤๅ เขาตอบว่าเปนของเราเอง ฝ่ายคนข้างอื่นนั้นตอบว่า เีราคิดว่าฬานี้มิใช่เปนของท่าน เพราะการที่ท่านไำด้บันทุกตัวหนักนัก ที่ท่านกับลูกได้ขึ้นนั่งไปบนหลังฬานั้น ควรที่ท่านทั้งสองจะยกสัตวนั้นไป ฝ่ายคนทั้งสองครั้นได้ยินดั่งนั้นก็ลงเสียจากหลังฬา แล้วเอาเชือกมาผูกท้าวฬ่่าเข้า แล้วก็หามไปตามทาง ถึงที่แห่งหนึ่งก็มีคนแตกตื่นกันมาดู เพราะเปนการชอบกล ครั้นพ่ิอลูกหามลาไปถึงตพาน ลาก็ดิ้นเชือกลุดตกน้ำตาย ฝ่ายเจ้าของฬาก็ภากันกลับไปบ้านของตน จึ่งคิดเสียใจ ด้วยเสียดายฬาเปนกำลัง แล้วว่าทีหลังเราจะไม่คิดกระทำตามถ้อยคำท่านทุกๆคนอีกเลย...
ผมขอหยุดเอาไว้เท่านี้ ส่วนที่้เป็นข้อคิดนั้นคงจะต้องให้ท่านนำไปคิดต่อเอง เพราะสังคมที่แข็งแรงต้องเปิดให้มีความคิดอันแตกต่างหลากหลาย แล้วมาถกเุถียงกันด้วยเหตุด้วยผล ไม่ใช่ชี้นำให้คิดอยู่แบบเดียว ใครคิดต่างถือว่าผิด เหมือนที่เป็นอยู่ทุกวันนี้

คงไม่มีของขวัญปีใหม่อะไรดีไปกว่าการสิ้นสุดลงของความจิตใจคับแคบในสังคมไทย