Saturday, December 24, 2011

คริสโตเฟอร์ ฮิทเช่นส์: นักเขียนผู้รอบด้านและเพื่อนที่ยอดเยี่ยม


คริสโตเฟอร์ ฮิทเช่นส์: นักเขียนผู้รอบด้านและเพื่อนที่ยอดเยี่ยม

เอียน แมคอีแวน เขียน


เอียน แมคอีแวน (1) เขียนรำลึกถึงช่วงไม่กี่สัปดาห์สุดท้ายของชีวิตเพื่อนสนิท เล่าว่าความรักต่อการเขียนและวรรณกรรมทำให้เขามีชีวิตอยู่จนวาระสุดท้ายได้อย่างไร


แม้ว่าสถานที่ๆคริสโตเฟอร์ ฮิทเช่นส์พักอยู่ในช่วงไม่กี่สัปดาห์สุดท้ายของชีวิตดูจะไม่เหมาะเป็นที่อ่านหนังสือเท่าไหร่ แต่เขาก็ทำให้มันกลายเป็นที่ทำงานของตัวเองได้ สถานที่นั้นอยู่ใกล้กับใจกลางเมืองของฮูสตัน เท็กซัส เป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ เป็นส่วนหนึ่งของตึกระฟ้า เหมือนลาเดฟองส์ของปารีส หรือย่านกลางเมืองของมหานครลอนดอน จะว่าไปแล้วมันก็เป็นเขตทางการเงินการธนาคารในโลกที่การมีสกุลเงินเดียวกันถือเป็นความป่วยไข้ ย่านนี้เป็นศูนย์รวมทางการแพทย์และเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ตึกที่สูงที่สุดของของย่านนี้ คือพวกชั้น 40-50 ขึ้นไปนั้น ปฏิเสธการช่วยเหลือจากพระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยเมตตา – ป้ายนีออนประกาศจากชั้นดาดฟ้าว่าเป็นโรงพยาบาลมะเร็งสำหรับเด็ก เป็น “หุบเขาตัดสะอาดเรียบเรียกตามที่ลาร์กิน (2) เขียนในบทกวีเขา แต่ตึกโรงพยาบาลนี้อยู่อีกด้านหนึ่งของที่ๆฮิทเช่นส์อยู่ ซึ่งไม่ได้สูงเท่า และไว้สำหรับผู้ใหญ่เท่านั้น

เขาเป็นคนไข้ที่ไปเยี่ยมได้ง่ายมาก เขาไม่ต้องการดอกไม้และองุ่น หากแต่เขาต้องการบทสนทนาและตัวคุณเท่านั้น นอกจากนี้ความเงียบทุกอย่างก็เป็นประโยชน์สำหรับเขาด้วย เขาชอบที่จะเห็นคุณอยู่ที่นั่นเมื่อตอนที่เขาตื่นหลังจากที่งีบหลับไปด้วยฤทธิ์มอร์ฟีนที่ต้องได้รับบ่อยครั้ง เขาไม่สนใจเกี่ยวกับอาการของตัวเอง ซึ่งก็เหมือนกับที่คนป่วยส่วนใหญ่เป็น – เขาไม่อยากพูดถึงมัน

ครั้งสุดท้ายที่ผมไปหาเขา ผมเดินทางไปจากสนามบิน เขาเห็นหนังสือเล็กๆในกระเป๋าเดินทางของผม และยื่นมือมาเพื่อจะหยิบ – มันคือ London Under ของปีเตอร์ แอครอยด์ (3) ซึ่งเป็นประวัติศาสตร์ “ใต้ดิน” ของมหานครลอนดอน

จากนั้นเราก็เริ่มใช้เวลาสิบนาทีในการยกย่องนักเขียนคนนี้ โดยเราสองคนไม่เคยพูดกันถึงเขามาก่อนเลย คริสโตเฟอร์ดูเหมือน จะได้อ่านทุกอย่างมาหมดแล้ว จากนั้นต่างหากที่เราค่อยกล่าวสวัสดีกัน เขาอยากอ่านงานแบบหนังสือเล่มนี้ เพราะมันเล่มเล็กและเวลาถือเขาจะไม่เจ็บมือ เขาจะจดโน้ตในที่มุมหนังสือด้วยดินสอ และตกเย็นวันนั้นเขาก็จะอ่านจนจบ

เขาอยากเขียนปริทรรศน์หนังสือเล่มนี้ แต่ว่ามีงานที่จะต้องส่งบทความชิ้นยาวเกี่ยวกับเชสเตอร์ตัน (4) เพราฉะนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นจะเป็นอย่างนี้ : คือเราจะคุยกันเกี่ยวกับเรื่องหนังสือและการเมือง และเขาก็จะหลับไปด้วยฤทธิ์ยาในขณะที่ผมอ่านหรือเขียน และพอเขาตื่นขึ้นมาเราก็จะสนทนาต่อ และเราก็จะอ่านหนังสือไปด้วยกัน ห้องดูแลคนไข้พิเศษที่เขาอยู่นั้นเต็มไปด้วย เครื่องอะไรมากมายที่มีไฟกระพริบ และสายระโยงระยางเต็มไปหมด แต่ดูไปดูมาก็คล้ายกับเครื่องประดับประดานี่เอง เพราะฉะนั้นในห้องนั้นก็จะอบอุ่นไปด้วยความคิดเกี่ยวกับหนังสือและการเขียน ซึ่งมันทำให้รู้สึกถึงห้องสมุดของมหาวิทยาลัยดีๆ และสิ่งเหล่านี้เองก็ช่วยให้เราไม่ต้องดูทิวทัศน์ตึกระฟ้าอันแสนอ้างว้างผ่านกระจกใสของโลกที่ (ด้วยคำของลาร์กินอีกครั้ง) ความรักและโอกาส “อยู่ไกลกว่ามือจะเอื้อมถึงจากที่นี่!”

ช่วงบ่ายผมช่วยให้เขาลงจากเตียง ช่วยให้เขาเดินไปมาเพื่อขยับแข้งขยับขา ในขณะที่เขาพิงมาที่ผม ทิ้งน้ำหนักมา ผมพูดออกมาเพราะผมรู้ว่าเขาคิดแบบเดียวกัน “จับแขนผมไว้ เพื่อนยาก” เขายิ้มยิงฟันให้ผม เป็นยิ้มแบบเดียวกับที่ผมจำได้จากวันเก่าๆของพวกเรา มันเป็นรอยยิ้มของการรับรู้ ซึ่งก็คือการขอบคุณ หรือคำที่เขาใช้เสมอคือ “มิตรภาพ

เพราะฉะนั้นนี่คงเป็นสาเหตุที่สองชั่วโมงหลังจากนั้น ผมนั่งอ่าน The Whitsun Wedding (5) ให้เขาฟัง คริสโตเฟอร์ขอให้ผมอ่านให้อเล็กซานเดอร์ลูกชายของเขา ซึ่งก็อยู่ที่นั่นหลายสัปดาห์สุดท้าย และสำหรับภรรยาของเขาแครอล บลู ผู้ที่เป็นเสือนักสู้เคียงข้างอาการป่วยของเขา เธอต่อสู้อย่างฉุนเฉียวกับความเชื่องช้าของระบบบริหารจัดการของโรงพยายาล จนกระทั่งเกือบถูกรปภ.ลาออกไปจากตัวอาคาร แต่สุดท้ายเธอก็หยุดพวกเขาได้

ผมเริ่มอ่าน และเมื่ออ่านถึงช่วงสุดท้าย “A sense of falling, like an arrow shower/Sent out of sight, somewhere becoming rain” (6) คริสโตเฟอร์พึมพำขึ้นมาจากบนเตียง “ฟังดูเศร้า เศร้าเหลือเกินนะ” ผมไม่เห็นด้วย ไม่ใช่ด้วยความต้องการจะให้เขาลดอารมณ์เศร้าลงหรอก แน่นอนว่าการเดินทางโดยรถไฟได้จบลง คู่รักข้าวใหม่ปลามันแยกย้ายกันด้วยประสงค์ของโชคชะตา แต่เขาไม่เชื่อแบบนั้น และแม้สัปดาห์ต่อมาตอนที่ผมกลับมาถึงลอนดอนแล้ว เราก็ยังแลกเปลี่ยนอีเมล์กันในเรื่องนี้ อีเมล์ฉบับหนึ่งเขาเริ่มต้นด้วย “เอียนที่รัก เอาละ แน่นอนว่าเรามองในแง่ดีก็ได้ แต่มันก็ยังขึ้นอยู่กับว่าลาร์กินเอาพฤติกรรมมนุษย์เปรียบเทียบกับสิ่งอื่นอย่างไรในจิตไร้สำนึกของเขา...ผมเดาว่า ‘somewhere becoming rain’ ยังเป็นในแง่ร้ายอยู่ดี

และนี่คือชายผู้ต้องทนอยู่กับความเจ็บปวดตลอดเวลา ไม่ยอมกินไม่ยอมดื่ม เขากินแต่น้ำแข็งก้อนเล็กๆ ในขณะที่คนอื่นๆอาจจะเข้าหาพระเจ้า (ด้วยคำถามว่าทำไมต้องเป็นลูกด้วย?) และฝันถึงชีวิตหลังความตาย แต่คริสโตเฟอร์มีแต่วรรณกรรมอยู่กับตัว ในช่วงสามวันที่ผมไปเยี่ยมเขาครั้งสุดท้าย ผมเห็นถึงเรื่องที่เขากำลังสนใจอยู่ ไม่นานหลังจากที่เขาขโมยหนังสือแอครอยด์ของผมไป เขาพูดถึงเรื่องนักเขียนสโลวะกียกับผม เรื่องว่าในนิยายเกี่ยวกับการเงินของไดรเซอร์ (7) ชี้ถึงเรื่องวิกฤตเศรษฐกิจของปัจจุบันหรือเปล่า เรื่องความเป็นแคธอลิกของเชสเตอร์ตัน เรื่องโคลง 14 บรรทัด (sonnets) ชื่อ จากโปรตุเกส ของบราวน์นิ่ง (8) ซึ่งผมเอามาให้เขาตอนมาเยี่ยมครั้งที่แล้ว เขาพูดถึงงาน The Magic Mountain ของโธมัส มานน์ (9) เขาอ่านมันอีกเพื่อครุ่นคิดถึงเรื่องความเป็นจักรวรรดิของเยอรมันต่อตุรกี และเพราะว่าเราเริ่มพูดเกี่ยวกับวันเก่าๆในแมนฮัตตัน เขาอยากจะพูดถึงและยกย่องงาน A German Requiem ของเจมส์ เฟนตัน “How comforting it is, once or twice a year,/To get together and forget the old times” (10)

ตอนที่ผมอยู่กับเขานั้น ขณะเดียวกันมีการจัดงานฉลองกันอยู่ในลอนดอน ที่เฟสทิวัล ฮอลล์ โดยมีสตีเฟน ฟรายเป็นผู้ดำเนินรายการ งานนี้คือ การเฉลิมฉลองชีวิตและงานของคริสโตเฟอร์ ฮิทเช่นส์ เราช่วยเขาลงจากเตียงและนั่งลงบนเก้าอี้ เอาแลปทอปของผมวางตรงหน้าเขา อเล็กซานเดอร์เข้าอินเตอร์เนตและใช้รหัสผ่านพิเศษเพื่อถ่ายทอดสดงานนี้และต่อลำโพงขยายเสียง ในที่สุดเสียงถูกถ่ายถอดมาก่อน และสิ่งที่พวกเราได้ยินนั้นแสนจะน่าประหลาดใจ และสำหรับคริสโตเฟอร์คงเป็นความน่าปลาบปลื้มใจ เสียงนั้นเป็นเสียงพูดคุยจ้อกแจ้กจอแจของคนสองพันคนก่อนงานจะเริ่ม จากนั้นภาพก็ตามมา เป็นภาพของผู้ชม นั่งกันเต็มถวที่นั่ง

พวกเขาดูอายุยังน้อย ผมเดาว่าเกือบทั้งหมดของคนเหล่านี้คงจะไม่เห็นด้วยกับความคิดเห็นของคริสโตเฟอร์อย่างรุนแรงในประเด็นเรื่องอิรัก แต่พวกเขาก็ไปร่วมงาน และงานนี้ก็ถ่ายทอดสดในโรงหนังทั่วประเทศ คริสโตเฟอร์ยิ้มและยกแขนลีบของตัวขึ้นเพื่อคำนับ แม้ครอบครัวและเพื่อนจะอยู่ในห้องนั้นกับคุณ แต่การตายนั้นโดดเดี่ยวนัก คุณต้องอยู่คนเดียวโดยสมบูรณ์ เขาได้เห็นด้วยตัวเองว่าชีวิตของเขานอกห้องเล็กๆห้องนั้นไม่ได้ถูกลืม และในช่วงเวลานั้น (ด้วยคำของลาร์กิน) โลกอินเตอร์เนตได้ยื่นมือมาถึงเขาแล้ว

เช้าต่อมา ผมและอเล็กซานเดอร์ตั้งโต๊ะทำงานขึ้นใต้หน้าต่างตามที่เขาขอ เราช่วยพาเขาและเสาน้ำเกลือที่ติดกับตัวเขาไปที่โต๊ะนั้น วางหมอนไว้ที่เก้าอี้ ปรับระดับของแลปทอป บทสนทนาและการงีบหลับเป็นไปอย่างปกติ แต่คริสโตเฟอร์มีเวลาไม่กี่วันที่จะเขียนบทความ 3,000 คำเกี่ยวกับหนังสืออัตชีวประวัติเชสเตอร์ตันของเอียน เคอร์ และเมื่อใดใครก็ตามพูดถึงงานเขียนของคริสโตเฟอร์ ผมจะคิดถึงชั่วขณะนี้เสมอ

ลองคิดถึงส่วนผสมเหล่านี้ดูสิ: อาการเจ็บปวดเรื้อรัง ทำให้เขาอ่อนแออย่างลูกแมว มอร์ฟีนทำให้เขางีบหลับ และความยุ่งเหยิงของความคิดอันหลากหลาย ของเทววิทยาการปฏิรูปและการเมือง ความคิดโรแมนติกของเชสเตอร์ตัน การนึกถึงประเทศอังกฤษที่เต็มไปด้วยคาธิลิกประเภทที่เอางานของเขาไปเชื่อมกับฟาสซิต์ และปฏิทรรศน์ของเขา ที่คริสโตเฟอร์ต้องการจะลบล้างมันเสีย ในช่วงพักเขาจะนั่งพักเหนื่อย ตาปิดพริ้ม และด้วยความพยายามอย่างเหนือมนุษย์ เขาจะฝืนตื่นขึ้นมาเพื่อพิมพ์บรรทัดต่อไป ความทรงจำยาวนานที่เขามีช่วยเขาได้มาก โดยเฉพาะในเวลาที่เขาไม่มีหนังสือที่ต้องการอยู่กับตัว เพราะฉะนั้นเมื่อบทความชิ้นนี้ออกไป จงอ่านมัน

ความเชี่ยวชาญของเขาไม่เคยหายไป เขามีความเชื่ออันแรงกล้าและไม่เคยอ่อนข้อกับอะไร เขาเป็นนักเขียนผู้รอบด้านและเป็นเพื่อนที่ยอดเยี่ยม ด้วยคำของวอลเตอร์ พาเตอร์ (11) เขาได้ “เผาไหม้ด้วยไฟประกายเพชร” จนกระทั่งหยดสุดท้าย


เดอะ การ์เดียนออนไลน์ 16 ธันวาคม 2554


อ้างอิง

(1) http://www.ianmcewan.com/

(2) http://en.wikipedia.org/wiki/Philip_Larkin

(3) http://en.wikipedia.org/wiki/Peter_Ackroyd

(4) http://en.wikipedia.org/wiki/Gilbert_K._Chesterton

(5) http://en.wikipedia.org/wiki/The_Whitsun_Weddings_(poem)

(6) http://www.poemhunter.com/best-poems/philip-larkin/the-whitsun-weddings/

(7) http://en.wikipedia.org/wiki/Theodore_Dreiser

(8) http://en.wikipedia.org/wiki/Sonnets_from_the_Portuguese

(9) http://en.wikipedia.org/wiki/The_Magic_Mountain

(10) http://poemhunter.com/poem/a-german-requiem/

(11) http://en.wikipedia.org/wiki/Walter_Pater