Saturday, April 10, 2010

50 ปี "To Kill a Mockingbird"



มีบทความจากหนังสือพิมพ์เกี่ยวกับครึ่งศตวรรษของงานวรรณกรรมชิ้นโด่งดัง To Kill a Mockingbird ของ Harper Lee จึงแปลหยาบๆมาให้อ่านกันอย่างเคยครับ



เกียรติยศของสเกาต์ :ทำความเคารพงานวรรณกรรมชั้นครู
วอร์วิค แมคแฟดเยน


"ที่รัก ฉันขอโทษ ฉันคงปลุกคุณตั้งแต่เช้ามืด ตอนนี้หิมะตกหนักมากและวันนี้ก็เป็นวันสุดท้ายก่อนที่ฉันจะไป ฉันจึงอยากจะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย ฉันขุดหิมะมาสองวันแล้วล่ะ เจ็บเข่าและเจ็บไหล่ไปหมด แต่ยังไงก็ตาม..."

เสียงนั้นฟังเหมือนขอโทษขอโพย ที่ผิดนัดสัมภาษณ์ไปสี่ชั่วโมง เสียงนั้นมาจากริชมอนด์ เวอร์จิเนีย ลึกเข้าไปในพื้นที่ของหิมะและน้ำแข็ง ซึ่งแข็งจากพายุฤดูหนาว เสียงนั้นเป็นของแมรี แบดแฮม ผู้ซึ่งเป็นที่รู้จักและเป็นที่รักจากคนมากมาย ในบทของชอง หลุยส์ ฟินช์ หรือสเกาต์ เป็นที่จดจำในบทของเธอในภาพยนตร์ To Kill a Mockingbird

แบดแฮมโตในเบอร์มิงแฮม อะลาบามา ย้อนไปเมื่อห้าสิบปีที่แล้ว เมืองนี้เป็นดินแดนแห่งความไม่เท่าเทียมระหว่างเชื้อชาติ ถนนหนทางในเมืองถือเป็นสมรภูมิรบทีเดียว ภาพของสุนัขตำรวจโจมตีคนผิวดำ ได้เผยแพร่ไปทั่วโลกและเป็นเหมือนภาพที่เผยให้เห็นข้อเท็จจริงของเมือง

แบดแฮมในวัยเด็ก เล่นบทบาทที่ต้องประสบกับการเหยียดผิวในภาพยนต์ To Killฯ บทบาทที่เธอเล่นสะท้อนก้องไปสู่คนเป็นล้าน

และวันนี้มันก็ยังสะท้อนก้องอยู่ เธอเองก็ยังรู้สึกกับมันเหมือนกับที่เธอยังเป็นเด็กหญิงอายุสิบขวบ ในปี 1962 ซึ่งเธอทำงานอยู่สามเดือน รับบทบาทเป็นชอง หลุยส์ เฟนช์ ลูกสาวของแอททิคัส

ปีนี้ครบรอบ 50 ปีการตีพิมพ์ To Killฯ ของฮาร์เปอร์ ลี นิยายเล่มนี้เป็นหนึ่งในปรากฏการณ์ระดับนานาชาติของสำนักพิมพ์ ซึ่งขายได้กว่า 30 ล้านเล่ม ได้รับรางวัลพูลิตเซอร์ และเป็นหนังสือที่ได้รับการชื่นชมสูงที่สุดเรื่องหนึ่งของโลกวรรณกรรม

ลีพูดในปี 1964 ว่า "ฉันไม่เคยคาดหวังความสำเร็จขนาดนี้จาก To Killฯ ฉันไม่คิดว่ามันจะขายได้ด้วยซ้ำ ฉันเพียงหวังว่ามันจะตายอย่างไม่ทรมานภายในมือของนักวิจารณ์"

แม้ด้วยความสำเร็จเช่นนั้น ลี, เช่นเดียวกับเจ ดี ซาลิงเจอร์, เป็นนักเขียนมีชื่อเสียงที่เก็บตัวมากที่สุดคนหนึ่ง

ถ้าลีเป็นผู้จุดไฟ แบดแฮมก็เป็นผู้รับคบเพลิงมาถือ แม้ว่าจะในรูปแบบภาพยนตร์ก็ตาม To Killฯ เข้าชิงรางวัลออสการ์แปดสาขา และได้ไปสาม คือดารานำชายยอดเยี่ยมเกรกอรี เป๊กแสดงเป็นแอททิคัส บทภาพยนตร์ยอดเยี่ยมโดยฮอร์ตัน ฟุต และถ่ายภาพกำกับภาพยอดเยี่ยมอีกสาขาหนึ่ง แบดแฮมเองก็เข้าชิงสาขาดาราสนับสนุนหญิงยอดเยี่ยม แต่พลาดไปให้กับแพตตี้ ดุ๊ก หากก็ไม่ได้ทำให้เธอผิดหวังแต่อย่างใด เธอไม่ได้สนใจในรางวัลเท่าๆกับที่เธอคือสเกาต์ด้วยชีวิตจริง "เราอ่านหนังสือในวันที่ฝนตก และเราออกไปเล่นข้างนอกในวันที่อากาศดี"

หนังสือที่เธอไม่ได้อ่านคือ To Killฯ ซึ่งเธอมาอ่านหลายปีให้หลัง ในห้องเรียนวิชาวรรณกรรมภาษาอังกฤษ "ฉันไม่ได้ต้องการอ่านเพื่อไปถึงมัน ฉันอยากให้มันมาอยู่ในความทรงจำของฉันมากกวา ซึ่งก็ดี" เธอพูด

แต่เมื่อเธอเปิดอ่าน โลกเล็กๆของเมคอมบ์ที่เธอประสบจากการแสดงภาพยนต์ก็โตขึ้น ความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครก็ลึกลงและกว้างขึ้น "หนังสือเล่มนั้นน่าสนใจมาก" เธอกล่าว "มันขยายความรู้ของเรามากมาย มันน่าประทับใจจริงๆ มีตัวละครอีกหลายตัวที่ฉันไม่รู้เลย ความสัมพันธ์ทั้งหมดกับคัลเปอร์เนีย (แม่บ้านผิวดำ) และการไปโบสถ์กับเธอ"

แบดแฮมมีประสบการณ์ร่วมกับเรื่องเหล่านี้ บ้านของเธอมีคนรับใช้ผิวดำมาตลอดหกชั่วอายุคน ในบทหนึ่งของหนังสือที่ต้องมีการไปโบสถ์ที่คนผิวดำไปนั้น "ใช่ ที่บ้านฉัน เราไปเมื่อสมัยเรายังเด็กๆ"

และสิ่งที่พวกเขาถูกห้ามคือการนั่งบนที่นั่งในรถประจำทางร่วมกับคนผิวดำ "ตอนที่ฉันอยู่ที่เบอร์มิงแฮม" เธอบอก "คนผิวดำยังต้องนั่งอยู่เบาะหลังในรถประจำทาง พวกเขายังต้องดื่มน้ำและเข้าห้องน้ำเฉพาะสำหรับคนผิวดำเท่านั้น"

แบดแฮมบอกว่า "ทีมทำหนังพยายามหาคนไปทั่วทั้งทางใต้" และต้องการ "เด็กใต้ที่สามารถพูดสำเนียงใต้ได้" เด็กพวกหนึ่งก็ต้องถูกพาไปฮอลลีวูด และเมคอมบ์ก็ถูกสร้างขึ้นในสตูดิโอ

ฝั่งตะวันตกเป็นเหมือนโลกใหม่ของเด็กหญิงจากอะลาบามาคนนี้ ผู้คนหลายเชื้อชาติอยู่อาศัยร่วมกัน และแบดแฮมเรียนรู้ว่า "มันเหมือนเป็นอีกโลกหนึ่ง และคนที่นั่นก็ไม่ได้คิดเหมือนกับคนที่อยู่ทางใต้เลย" และเมื่อเธอกลับสู่เบอร์มิงแฮม เธอก็กลับรู้สึกแปลกแยก

"ตระกูลแบดแฮมเป็นเหมือนผู้ก่อตั้งเบอร์มิงแฮม พ่อของฉันเป็นนายพลในกองทัพอากาศ และได้รับความนับถือมาก ฉันได้รับการต้อนรับจากบ้านที่ดีที่สุดในเบอ์มิงแฮมเสมอ แต่แล้ว เมื่อฉันกลับไป ฉันก็รู้สึกว่า โอ้ พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่าเด็กคนนั้นเรียนรู้อะไรบ้างจากฮอลลีวูด"

สิ่งที่เธอพบในฮอลลีวูดคือมิตรภาพอันยืนยาว โดยเฉพาะกับดาราใหญ่อย่างเกรกอรี เป๊ก "เขาเป็นคนยอดเยี่ยมมากๆเลยล่ะ" เธอนึกย้อน สิ่งที่คนเห็นในหนังคือเมื่อมันออกไปนอกจอหนังแล้ว

เธอสนิทกับเขาเกินกว่าจะเรียกว่า "คุณเป๊ก" และยังเด็กเกินกว่าที่จะเรียกเขาว่า "เกรก" แบดแฮมบอก "ฉันจึงเรียกเขาว่าแอททิคัส และเขาเรียกฉันว่าสเกาต์ เราสนิทกันมาก"

ในช่วงเวลานั้น "มันเหมือนเป็นครอบครัว" เธอบอก "และฉันก็ไม่รู้ว่าหนังเรื่องอื่นจะเป็นอย่างนี้หรือเปล่า เราพบเจอกันเสมอและจะติดต่อหากันหากรู้ว่าอีกฝ่ายอยู่ในเมืองเดียวกัน"

"ฉันรับโทรศัพท์และที่ปลายสายคือแอททิคัส พูดว่า 'ทำอะไรอยู่ สาวน้อย'? นั่นมีความหมายมากสำหรับฉัน"

การจำบทภาพยนตร์ของฮอร์ตัน ฟุต ไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับแบดแฮม กระทั่งการเดินทางกำลังจะจบลง เหลือเพียงฉากเดียวที่จะต้องถาย เป็นฉากสำคัญที่คุก ที่แอททิคัสคุ้มครองลูกความของเขาทอม รอบินสันจากกลุ่มคน สเกาต์และพี่ของเธอในเรื่อง (ฟิลิป อัลฟอร์ด) อยู่ที่นั่นสังเกตว่าเกิดอะไรขึ้น และสเกาต์เองก็เป็นผู้ที่ทำให้ผู้คนที่มุงหันมาสนใจด้วยสายตาอันไร้เดียงสาของเธอและพูดกับคนหนึ่งในนั้น พอถึงตรงนั้นแบดแฮมก็เกิดจะทำไม่ได้ขึ้นมา

"ฉันไม่มีปัญหาอะไรเลยจนกระทั่งถึงจุดนั้น จู่ๆฉันก็พูดไม่ออก และคุณมัลลิแกน (ผู้กำกับ) ก็สั่งคัท แม่พาฉันไปนั่งคุย 'ลูก ลูกจะต้องจำบทตอนนี้ให้ได้ ต้องทำให้ได้ตอนนี้เพราะลูกรู้ว่าการจราจรห้าโมงเย็นเป็นอยางไร และทุกคนอยากกลับบ้าน' และฉันก็ 'โอเค' และไปถ่ายใหม่จนได้"

ในขณะที่เวลาไม่ได้ทำให้เธอหยุดรัก To Killฯ แต่มันก็มีผล "ฉันดูหนังเรื่องนี้ไม่ได้อีกแล้วล่ะ ฉันใจหายเมื่อมาคิดว่าหลายคนในหนังเรื่องนี้ไม่มีชีวิตอยู่แล้ว" เธอบอก

ซิดนีย์ มอร์นิง เฮอรัลด์ 3 เมษายน 2010