
ผมเชื่ออยู่เสมอถึงการดำรงอยู่ของบางสิ่งบางอย่าง ผ่านรุ่นสู่รุ่น ผ่านพ่อแม่สู่ลูก ผ่านคู่ชีวิต ผ่านพี่สู่น้อง และผ่านเพื่อนสู่เพื่อน
การดำรงอยู่ของความเชื่อ คุณค่า ความหมายบางอย่าง ที่สะท้อนโลกทัศน์และมุมมองของคนๆหนึ่งต่อโลกที่เขาใช้ชีวิตผ่านมา และเขาเล่ามันออกมาด้วยหมายจะบันทึกมันเอาไว้
สิ่งเหล่านี้ผมจะสดับตรับฟังด้วยความเคารพอยู่เสมอ - ไม่ใช่เพราะหลับหูหลับตาเชื่อ หรือไม่ใช่เพราะความเป็นผู้ด้อยอาวุโสกว่า จึงมีหน้าที่ต้องฟังและรับคำสั่งแต่ถ่ายเดียวโดยไม่ตั้งคำถามใดๆ
แต่ผมฟังเพราะเชื่อว่า คงมีเหตุผลบางอย่าง ที่คนเหล่านั้นเลือกเล่าเรื่องราวบางเรื่องผ่านประสบการณ์ของเขาออกมา ผ่านยุคสมัยของเขาออกมา เพราะนั่นทำให้เราได้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของบางสิ่งบางอย่าง การดำรงอยู่ของบางสิ่งบางอย่าง
และที่สำคัญ มันอาจได้สะท้อนให้เห็นถึงความผิดพลาดที่เคยเกิดขึ้น เป็นความผิดพลาดที่ไม่ควรถูกก้าวทับซ้ำเข้าไปอีก เพราะหากเราเชื่อว่ามนุษย์พร้อมที่จะเรียนรู้ เราก็คงจะต้องพร้อมรับฟังอะไรบางอย่าง และเรียนรู้มัน
อารยธรรมเติบโตไปเช่นนี้เอง
ใครหลายคนรับรู้ถึงการจากไปของศิลปินสำคัญของไทยคนหนึ่ง พวกเขาอาจรับรู้จากผลงาน จากกระแสเสียงดนตรี จากความสัมพันธ์ทางสายเลือด และหนทางในการรับรู้อันหลากหลายแตกต่างกันไป
ผมรับรู้ถึงการจากไปของครูใหญ่ นภายนในฐานะผมเป็นเพื่อนบ้านคนหนึ่ง
อันที่จริงแล้ว "บ้านเขตดุสิต" คือบ้านที่นำผมมารู้จักกับครูใหญ่
ผมรู้จักกับครูใหญ่ นภายน เมื่อราวปีพ.ศ.2549 อันเป็นช่วงเวลาที่ผมเริ่มมีความสัมพันธ์กับบ้านอย่างจริงจัง หลังจากที่ใช้ชีวิตไม่ติดบ้านช่ิอง (ด้วยภารกิจหลายประการ) มาเป็นระยะเวลาสองสามปีหลังจากที่ผมย้ายเข้ามาที่บ้านเขตดุสิตใหม่ๆในปีพ.ศ.2546
มันเป็นช่วงเวลาี่ืืที่ผมใช้เวลาในการครุ่นคิดและเรียนรู้ความสัมพันธ์ของมนุษย์ในเมืองที่ผมอยู่อาศัยอย่างจริงจังเป็นครั้งแรกในชีวิต และแสดงมันออกมาผ่านงานเขียนและการมองโลกต่างๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งต้องอาศัยการขัดเกลา การปลีกวิเวก การเริ่มต้น การสูญเสีย และอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่ผมไม่สามารถบรรยายออกมาได้จนหมด
จะว่าไปแล้ว บ้านเขตดุสิตเป็นตัวชี้วัดการเจริญเติบโตของผมในหลายแง่หลายมุม และบ้านแห่งนี้ก็เป็นสถานที่บรรจุความทรงจำในวัยหนุ่มของผมไว้หลายอย่างหลายประการ
ในพ.ศ.2549 ผมรู้แต่เพียงว่ามีศิลปินใหญ่อยู่คนหนึ่งพำนักอาศัยอยู่ในละแวกบ้าน - จนกระทั่งผมได้มีโอกาสไปแนะนำตัวก่อนไปเรียนต่างประเทศนั่นละ ที่ทำให้ผมได้รู้จักกับครูใหญ่ นภายน
การเป็นศิลปินผู้มีชีวิตคร่ำหวอดอยู่ในวงการ ทำให้ครูใหญ่ถ่ายทอดประสบการณ์ออกมาให้ผมฟังอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
ผมรับฟังเรื่องราวเหล่านั้น ซึ่งถูกเล่าออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ ราวกับว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตครู
ราวกับว่าเรื่องราวเหล่านั้นเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน
ผมเล่าให้ครูใหญ่ฟังถึงความฝัน ความมุ่งหมาย และความตั้งใจที่จะทำอะไรหลายสิ่งหลายอย่างดังที่ไฟในตัวจะเผาผลาญความทะเทอทะยานออกมาเป็นควันของการเล่าเรื่อง
ครูให้กำลังใจ และให้ข้อคิดซึ่งผมยังจำได้ว่า "การเขียน ไม่จำเป็นต้องรุนแรง ค่อยๆเล่า ค่อยๆบรรยาย ค่อยๆนำเสนอมันออกมา"
นั่นอย่างไร...ประสบการณ์บางอย่างที่เราควรต้องสดับตรับฟังด้วยความเคารพ
ผมได้พบกับครูใหญ่ครั้งสุดท้ายก่อนผมเดินทางไปเรียนต่างประเทศอีกครั้งหนึ่งเมื่อสี่เดือนที่แล้ว ครูใหญ่ยังดูสดใส ยังเล่าเรื่องราวต่างๆอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเหมือนเคย - ประสบการณ์อีกมากที่ถูกเล่าออกมา
ดนตรีของครูใหญ่ยังบรรเลงอยู่ - มันยังคงดำรงอยู่ ผ่านรุ่นสู่รุ่น ผ่านพ่อแม่สู่ลูก ผ่านคู่ชีวิต ผ่านพี่สู่น้อง และผ่านเพื่อนสู่เพื่อน
บ้านเขตดุสิตมีความทรงจำเพิ่มขึ้นอีกคำรบหนึ่ง
1 comment:
สิ่งมีค่ามีอยู่รอบกาย : )
Post a Comment