
"ถ้าการวิจารณ์มีความเสี่ยงสูงอย่างยิ่งในสังคมไทย...ในเมื่อวัฒนธรรมการวิจารณ์แบบไทยๆมีอันตรายรอบด้านเช่นนี้ 'ทางไปสู่วัฒนธรรมการวิจารณ์' จึงเต็มไปด้วยขวากหนาม ทั้งการดูแคลน โรงพยาบาลบ้า มาตรา 112 สไนเปอร์และบางขวาง ถ้าไม่อยากเดือดร้อนก็ต้อง...รู้จักประณมกรเข้าไว้ เอาตัวเองเข้าใต้ร่มบารมีของผู้ใหญ่ได้ยิ่งดี เพราะวัฒนธรรมแห่งการวิจารณ์แบบดัดจริตต่างหากที่เป็นทางไปสู่เกียรติยศความก้าวหน้าในประชาคมวิจารณ์แบบไทยๆ", ธงชัย วินิจจะกูล, "กุ ลอบ ลอกฯ", อ่าน 3 (2) 2554, น.27-28
Friday, August 26, 2011
Saturday, July 30, 2011
เอมี่ ไวน์เฮาส์ (1983 - 2011)
Wednesday, June 29, 2011
เหี้ย

เหี้ยเหี้ยเปนสัตวทั้งน้ำบกชนิดหนึ่ง ซึ่งนับเข้าในจำพวก จะกวด จรเข้ เหรา กิ้งก้า จิงเหลน จิงจก ตุกแก เพราะมันเปนสัตวเสพยของโสโครก เช่นศพมนุษยทรากสัตว และนานๆเข้ามาในที่อยู่ของฝูงชนครั้งหนึ่ง จึงเลยถือกันเสียว่าเปนสัตวอุบาทว์ ให้ลางร้ายแก่เจ้าของบ้านที่พบปะมันขึ้นอาไศรย การที่ถือกันดังนี้ย่อมเปนคติเหล็วไหล เนื่องมาจากคนโบราณ และเหี้ยนั้นคนไทยเราจะถือว่าเปนสัตวอะไรก็ตาม แต่จีนบางพวกกลับเห็นว่าเปนสัตวมีประโยชน์ รศเนื้อมันอะหร่อย หวาน หอม รับทานแล้วอาจมีกำลังวังชา ทั้งอาจบำบัดโลกในกายตัวก็ได้ เหตุนี้จีนบางพวก มีกวางตุ้งแลแคะเปนต้น จึงชอบรับทานกันยิ่งนักแม้เหี้ยนั้นจะเปนสัตวให้ร้ายแก่มนุษยผู้ที่มันขึ้นไปอาไศรยบนบ้านเรือนอย่างไรก็ตาม แต่คงไม่ร้ายเท่ามนุษยที่ชอบประจบสอพลอท่าน หาดีใส่ตัวให้ชั่วตกอยู่กับคนอื่น มนุษยที่มีลักษณดังกล่าวนี้ บรมอุบาทว์ร้ายยิ่งกว่าเหี้ยหางด้วนหลายเท่าทวีคูณ ถ้ามันขึ้นไปบนเรือนใครหรือคบใครเข้าแล้ว ถ้าไม่สวดสัพพีไล่ หรือจุดประทัดขับเสียแต่แรก อย่างไรก็ไม่หมดคาวอุบาทว์(จีนโนสยามวารศัพท์, ศุกร์ 3 มีนาคม ร.ศ.129, น.2)
Sunday, February 13, 2011
นักพนัน - ฟีโอดอร์ ดอสโตเยฟสกี
Sunday, February 6, 2011
จดหมายจากนักเขียนหนุ่ม - กนกพงศ์ สงสมพันธุ์
" พวกเราไม่รู้หรอก ขจรฤทธิ์ ว่าสิ่งที่ตามมากับงานวิจัยคือกระบวนคิดที่เปลี่ยนไป ผมสัมผัสได้มากขึ้นทุกวัน ระบบคิดของพวก[นักวิจัย]เริ่มไปยึดกับเหตุผล ไปยึดกับหลักฐาน ต้องมีข้ออ้างอิงอะไรประมาณนี้ ซึ่งไม่รู้ว่าข้ออ้างอิงนั้นจะถูกหรือเปล่าไม่สำคัญ ขอให้มีมันเถอะ ขณะที่ผมเองพุ่งไปที่จินตนาการ ปาเสียงของผมจึงยิ่งน้อยลงเรื่อยๆ ผมไม่ได้ผิดหวังที่เสียงของผมไม่ "ดัง" แต่ผมเกรงว่า จินตนาการของพวกเขาจะหมดไป อาจมีบ้างก็เพียงจินตนาการบนฐานของข้อมูล วรรณกรรมต้องการจินตนาการมากกว่านี้ผมเกรงว่าจะไม่มีใครเขียนวรรณกรรมกันอีกน่ะ เวรกรรมจริงๆ" (น.64)
" ในวงการวรรณกรรมก็เช่นกัน ย่อมมีคนรุ่นใหม่ที่หาได้มาจากกรอบความคิดเช่นผมเช่น[ขจรฤทธิ์] รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนรุ่นใหม่ รุ่นใหม่ที่จะต้องเปลี่ยนอะไรเดิมๆเสีย อะไรที่มันกดทับอยู่ มันมีอิทธิพลครอบ ต้องเปลี่ยนมัน ฉีกออกไปแสวงหาความใหม่ นี่เป็นเรื่องธรรมชาติ วรรณกรรมเพื่อชีวิตเดินทางมาถึงวันเวลาสุดท้าย ไม่ใช่ว่ามันจะไม่มีอยู่อีก แต่มันจะไม่เป็นกระแสหลักอีกต่อไปถูกแล้วที่[คนรุ่นใหม่]ต้องปฏิเสธวรรณกรรมเพื่อชีวิต เพราะเขารู้สึกว่านั่นคือกระแสหลัก เขาต้องสร้างกระแสใหม่ขึ้นมา เขาเกิดขึ้นด้วยความรู้สึกนั้น ไม่ว่าจะเป็นกลุ่ม Open, A day หรือปราย พันแสง...แต่ภาวะทางสังคมสำหรับพวกเขายังไม่สุกงอม กลุ่มคนอ่านที่เป็นความคิดใหม่ยังไม่โต และเนื้อหาสังคมไม่เอื้อให้ขนาดนี้น่าเศร้าที่พวกเขาคิดว่าจะต้องเปลี่ยน...จะต้องไม่ใช่เพื่อชีวิต และพวกเขาก็เปลี่ยนแปลงทางเนื้อหาเสียด้วย พวกเขาปฏิเสธมัน มันไปสอดคล้องกับความต้องการของนักอ่านรุ่นใหม่พอดี นักอ่านที่เป็นชนชั้นกลางล้วนๆ ชนชั้นที่สังคมบ่มเพาะให้พวกเขาตัดขาดจากชนชั้นอื่น สังคมทำให้พวกเขาไม่สนใจปัญหา มอมเมาดวงตาพวกเขา ปิดมันเสียจากชนชั้นล่าง เบื้องหลังของวรรณกรรมก็คือคน คนเป็นอย่างไรวรรณกรรมก็เป็นแบบนั้น...ชนชั้นกลางกับชนชั้นล่างถูกตัดขาดกันอย่างสิ้นเชิง, ในสังคมจริงเราจึงได้เห็นการต่อสู้ของชาวจะนะที่โดดเดี่ยว เห็นความโดดเดี่ยวของชาวบ่อนอก - หินกรูด, ของชาวปากมูล ปัญหาของชาวบ้านคือปัญหาของชาวบ้าน ไม่เกี่ยวอะไรกับชนชั้นกลาง งานเขียน "อินเทรนด์" ที่กำลังก่อกระแสการตอบรับก็เป็นเช่นนั้น เขาไม่จำเป็นต้องคิดอะไรเกี่ยวกับสังคม เพราะนักอ่านรุ่นใหม่ก็รู้สึกเช่นเขาว่า มันน่าเบื่อ ซ้ำจะเป็นการทำร้ายความรู้สึกเสียด้วยซ้ำ ใช่! งานเขียนในแบบผมทำร้ายความรู้สึกชนชั้นกลางที่ไม่สนใจปัญหา จึงถูกแล้วที่เขาต้องนิยมชมชอบปราบดา เขาสนุกกับอะไรสักอย่างตามแบบของเขา ที่ไม่เกี่ยวกับบ้านเมือง มันเป็นการหลบโลก/หนีจากปัญหาอย่างหนึ่ง เป็น "พาฝัน" ชนิดหนึ่ง พาฝันในยุคสมัยนี้" (น.128-129)...[คณะกรรมการซีไรต์กับผม]เสมือนอยู่คนละโลกกัน ผมอยู่ในโลกของปัญหาชนบทล่มสลาย อยู่ในโลกที่มีปัญหาเรื่องท่อก๊าซ ขณะที่กรรมการซีไรต์อยู่ในโลกที่มีปัญหากระดุมเสื้อหายตามอย่างปราบดา เลยไม่แน่ใจว่าคำคำเดียวกันจะเข้าใจตรงกันหรือเปล่า... (น.187)
" บ้านนอกมีความหมายข้องเกี่ยวอย่างแนบแน่นกับวรรณกรรมเพื่อชีวิต และผมก็ตระหนักดีว่า วันนี้, วรรณกรรมเพื่อชีวิตได้ตายไปเรียบร้อยแล้ว มันตายทั้งด้วยระบบธุรกิจหนังสือ และลักษณะของคนเสพที่เป็นนักอ่านรุ่นใหม่...ผมรู้ว่า[วรรณกรรมเพื่อชีวิต]ตาย แต่ผมจะเป็น Last man standing ผมจะยืนอยู่ตรงนี้ ด้วยเนื้อหาทำนองนี้ ไม่ใช่ว่าผมดื้อ, แต่ผมเป็นสิ่งนี้ นอกไปจากนี้ผมก็ทำไม่ได้อีก..." (น.148)
Sunday, January 23, 2011
อีริค ฮอบสบอว์ม: บทสนทนาเรื่องมาร์กซ์
ทริสแทรม ฮันท์ สัมภาษณ์
ปรีดี หงษ์สต้น แปลและเรียบเรียง
ในโอกาสที่หนังสือเล่มล่าสุดของเขาเพิ่งตีพิมพ์ นักประวัติศาสตร์อายุ 93 ปีนามอีริค ฮอบสบอว์ม พูดถึงคอมมิวนิสม์ และเรื่องรัฐบาลผสมกับคนหนุ่มอังกฤษรุ่นใหม่ สส.พรรคเลเบอร์ ทริสแทรม ฮันท์
แฮมสเตด ฮีธ เขตใบไม้ปกคลุมทางเหนือของมหานครลอนดอน ภาคภูมิใจกับการเป็นส่วนหนึ่งในประวัติศาสตร์ของมาร์กซิสม์ ในทุกวันอาทิตย์คาร์ล มาร์กซ์จะพาครอบครัวของเขาไปเดินเล่นที่พาร์เลียเมนต์ ฮิลล์ และจะท่องบทละครของเชคสเปียร์และชิลเลอร์ไปตลอดทาง เพื่อช่วงบ่ายของการปิคนิคและการอ่านบทกวี ในวันธรรมดาเขาจะไปพบกับสหายเฟดริก เองเกลส์ผู้ซึ่งอาศัยอยู่ใกล้ๆกัน เพื่อพากันไปรอบเขต ที่ซึ่ง “โอลด์ ลอนดอนเนอร์” อย่างพวกเขาครุ่นคิดเกี่ยวกับปารีสคอมมูน, องค์กรสากลที่สองและธรรมชาติของทุนนิยม
วันนี้ บนถนนที่มุ่งตรงมาจากแฮมสเตด ฮีธ ความมุ่งมั่นของมาร์กซิสม์ยังมีลมหายใจอยู่ในบ้านของอีริค ฮอบสบอว์ม เขาเกิดในปี 1917 (ในอเล็กซานเดรีย อียิปต์ขณะยังอยู่ในเขตการปกครองของอังกฤษ) ซึ่งเป็นเวลามากกว่าสองทศวรรษหลังจากที่มาร์กซ์และเองเกลส์ตายไป แน่นอนว่าเขาก็ไม่รู้จักคนทั้งสองเป็นการส่วนตัว แต่การพูดคุยับอีริคในห้องรับแขกอันปลอดโปร่ง เต็มไปด้วยรูปถ่าย รางวัลจากงานวิชาการ และสิ่งของที่ได้มาในช่วงชีวิต มันดูเหมือนว่ามีการเชื่อมโยงที่ชัดเจนบางอย่างระหว่างคนทั้งสองกับความทรงจำของพวกเขา
ครั้งล่าสุดที่ผมสัมภาษณ์เขาคือในปี 2002 เกี่ยวกับหนังสืออัตชีวประวัติ Interesting Times ซึ่งเล่าเรียงวัยเด็กของเขาในเยอรมนียุคไวมาร์ ความรักดนตรีแจซซ์มาตลอดชีวิต และอิทธิพลของเขาในการเปลี่ยนแปลงการเรียนวิชาประวัติศาสตร์ของเกาะอังกฤษ หนังสือตีพิมพ์แล้วก็ได้รับการตอบรับอย่างกว้างขวาง เป็นเวลาเดียวกับที่สื่อโจมตีเขาจากกระแสหนังสือแอนตี้สตาลินของมาร์ติน อามี Koba the Dread ต่อการเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ของอีริค เขาบอกว่าเดลิ เมล์โจมตีเขาว่า “ศาสตราจารย์มาร์กซิสต์” ผู้นี้ไม่ได้หา “ความเห็นร่วมหรือให้ความเห็นใจ” แต่เป็นการพยายามทำความเข้าใจประวัติศาสตร์ผ่านชีวิตคนที่ถูกกำหนดโดยการต่อสู้กับฟาสซิสม์ในศตวรรษที่ 20
เวลานี้หลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไปแล้ว วิกฤตทุนนิยมทั่วโลกซึ่งได้สร้างความโกลาหลต่อเศรษฐกิจโดยรวมของโลกตั้งแต่ปี 2007 ได้เปลี่ยนกรอบของการถกเถียงไป
ทันใดนั้น ข้อวิพากษ์ของมารกซ์ต่อความไม่มั่นคงของทุนนิยมได้ฟื้นคืนชีพอีกครั้ง “เขา [มาร์กซ์] กลับมาแล้ว!” หนังสือพิมพ์เดอะ ไทมส์ กู่ตะโกนในฤดูใบไม้ร่วงปี 2008 เมื่อตลาดหุ้นร่วง ธนาคารถูกทำให้เป็นของชาติ และมีรูปประธานาธิบดีซาร์โคซีของฝรั่งเศสกำลังพลิกหน้าหนังสือ Das Kapital (ยอดขายพุ่งพรวดถึงขนาดติดอันดับขายดีในเยอรมนี) กระทั่งสมเด็จพระสันตปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 ยังต้องตามกระแสด้วยการยกย่อง “ทักษะการวิเคราะห์” ของเขา มาร์กซ์ – ยักษ์ใหญ่แห่งศตวรรษที่ 20 – ได้ตื่นขึ้นอีกครั้งในมหาวิทยาลัย ในการประชุมสาขาของบริษัท และในออฟฟิศของเหล่าบรรณาธิการ
ฉะนั้นคงไม่มีจังหวะไหนที่จะเหมาะกว่านี้อีกแล้ว เมื่ออีริคนำบทความเกี่ยวกับมาร์กซ์ของเขามารวมเล่ม และเพิ่มบทความใหม่เกี่ยวกับมาร์กซิสม์และวิกฤตเศรษฐกิจที่ผ่านมา สำหรับฮอบสบอว์มแล้ว การเขียนเกี่ยวกับมาร์กซ์และความยิ่งใหญ่ในหลายๆด้านของมาร์กซ์ยังทำให้เขาตื่นเต้นอยู่เสมอ
แต่อีริคเองก็เปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน เขาได้รับผลกระทบรุนแรงจากการหกล้มเมื่อช่วงคริสต์มาสที่ผ่านมา และก็ไม่สามารถหลีกหนีอาการทางกายของคนวัย 93 ได้ แต่อารมณ์ขันและการต้อนรับขับสู้ของเขาและมาร์ลีน ภรรยาของเขา รวมทั้งความฉลาดหลักแหลม มุมมองทางการเมืองที่ลุ่มลึก ยังคงไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลย ด้วยหนังสือพิมพ์เดอะ ไฟแนนเชียล ไทมส์ที่ถูกพลิกจนยับวางอยู่บนโต๊ะกาแฟ อีริคเปลี่ยนบทสนทนาจากหัวข้อหนึ่งไปอีกหัวข้อหนึ่งอย่างไม่มีขีดจำกัด ตั้งแต่เรื่องประธานาธิดีลูลาของบราซิลที่กำลังจะออกจากตำแหน่งจากการสำรวจโพล [เขาเพิ่งออกจากตำแหน่งไปเมื่อต้นเดือนมกราคม 2011 ที่ผ่านมา] ไปจนถึงความยากทางอุดมการณ์ที่พรรคคอมมิวนิสต์ในเบงกอลตะวันตกต้องเผชิญ รวมทั้งสภาพยุ่งเหยิงของอินโดนีเซียภายหลังเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลกในปี 1857 การเน้นปรากฏการณ์ในระดับโลกและการไม่มองอะไรเพียงแคบๆ ซึ่งเป็นจุดแข็งของงานของเขาโดยเสมอมา ยังคงกำหนดวิธีการมองการเมืองและประวัติศาสตร์ของเขา
และหลังจากหนึ่งชั่วโมงของการสนทนาเกี่ยวกับมาร์กซ์ วัตถุนิยม และการต่อสู้อย่างต่อเนื่องเพื่อศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ท่ามกลางตลาดเสรีที่ถาโถม คุณจะออกจากบ้านของฮอบสบอว์มในแฮมสเตด ฮีธ ใกล้กับทางที่คาร์ลและเฟดริกเคยเดิน ด้วยความรู้สึกที่เหมือนกับเพิ่งผ่านการสั่งสอนจากผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งแห่งศตวรรษที่ 20 ผู้ซึ่งมุ่งมั่นรักษาความเป็นนักวิพากษ์ต่อไปในศตวรรษที่ 21
ฮันท์ : หัวใจของหนังสือเล่มนี้มีการแก้ตัวไหม? ถึงแม้ทางออกที่มาร์กซ์เสนออาจจะไม่เกี่ยวอีกแล้ว แต่เขาก็ตั้งคำถามที่ถูกต้องเกี่ยวกับธรรมชาติของทุนนิยม และทุนนิยมในแบบที่เกิดขึ้นเมื่อ 20 ปีที่ผ่านมา ก็คือสิ่งที่มาร์กซ์คิดในช่วงปี 1840s?
ฮอบสบอว์ม : ใช่ มีแน่ๆ การค้นพบมาร์กซ์ใหม่ในยุควิกฤตทุนนิยมนี้เกิดขึ้นก็เพราะเขามองเห็นโลกสมัยใหม่ได้ไกลกว่าใครๆในปี 1848 ผมคิดว่านั่นดึงดูดคนให้อ่านงานของเขา ที่ดูขัดแย้งคือ พวกนักธุรกิจและนักวิเคราะห์ธุรกิจหันมาอ่านมากกว่าพวกฝ่ายซ้ายซะอีก ผมยังจำได้ตอนที่ครบรอบ 150 ปีการพิมพ์ครั้งแรกของ The Communist Manifesto ซึ่งตอนนั้นฝ่ายซ้ายยังไม่ได้มีแบบแผนอะไรมากนักในการเฉลิมฉลองโอกาสเหล่านี้ ผมค้นพบด้วยความประหลาดใจว่า บรรณาธิการของนิตยสารบนเครื่องบินของยูไนเต็ด แอร์ไลนส์ กล่าวว่าเขาต้องการจะมีอะไรสักอย่างเกี่ยวกับ Manifesto แล้วหลังจากนั้นไม่นาน ผมกำลังกินข้าวกับจอร์จ โซรอสที่ถามผมว่า “คุณคิดอย่างไรเกี่ยวกับมาร์กซ์?” แม้ว่าเราจะเห็นไม่เหมือนกัน เขาพูดกับผมว่า “ชายคนนี้ [มาร์กซ์] มีของอย่างแน่นอน”
ฮันท์ : คุณคิดไหมว่าสิ่งที่ทำให้คนอย่างโซรอสชอบเกี่ยวกับมาร์กซ์ ส่วนหนึ่งก็คือการที่มาร์กซ์อธิบายพลัง ภาพพจน์ และศักยภาพของทุนนิยมได้อย่างยอดเยี่ยม และนั่นคือจุดที่ดึงดูดเหล่าซีอีโอบนสายการบินยูไนเต็ด แอร์ไลนส์?
ฮอบสบอว์ม : ผมคิดว่ามันคือเรื่องโลกาภิวัฒน์ จริงๆแล้วมาร์กซ์ได้ทำนายเรื่องโลกาภิวัฒน์อย่างที่บางคนวันนี้เรียกว่าโลกาภิวัฒน์สากล คือกระบวนการโลกาภิวัฒน์ของรสนิยมและสิ่งอื่นๆที่เหลือทั้งหมด นั่นทำให้คนเหล่านั้นประทับใจ แต่ผมคิดว่าในบางรายที่ฉลาดหน่อยสามารถมองเห็นทฤษฎีที่ชี้ว่าวิกฤตเศรษฐิจนั้นจะก่อตัวขึ้นได้ เพราะกรอบทฤษฎีที่เป็นหลักในช่วงนั้น (ปลายทศวรรษ 1990s) ได้ข้ามความเป็นไปได้ของการเกิดวิกฤตเศรษฐกิจไป
ฮันท์ : และนี่คือ “จุดจบของการรุ่งและร่วง” ของเศรษฐกิจ และการข้ามไปให้พ้นวงจรธุรกิจใช่ไหมครับ?
ฮอบสบอว์ม : ใช่ สิ่งที่เกิดขึ้นตั้งแต่ทศวรรษที่ 1970s เป็นต้นมา โดยเริ่มในบรรดามหาวิทยาลัยต่างๆก่อน ที่ชิคาโกและที่อื่นๆ และตั้งแต่ปี 1980 ผมคิดว่าด้วยการร่วมมือของ [มาร์กาแรต] แทชเชอร์และ [โรนัลด์] เรแกนได้นำไปสู่แนวทางอันพิกลพิการของหลักการตลาดเสรีของทุนนิยม: คือการอาศัยพลังของเศรษฐกิจและตลาดล้วนๆ การปฏิเสธรัฐและการกระทำโดยสาธารณะ ซึ่งผมไม่คิดว่าเศรษฐกิจใดๆในศตวรรษที่ 19 ทำอย่างนี้ แม้แต่เศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาเองก็ตาม และนั่นก็ขัดแย้งกับหนทางที่ทุนนิยมได้ทำงานในช่วงที่มันประสบความสำเร็จที่สุด คือระหว่างปี 1945 และช่วงต้น 1970s
ฮันท์ : คำว่า “ประสบความสำเร็จ” คุณหมายถึงในแง่ที่ว่ามันได้ยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในช่วงหลังสงครามนั้นหรือ?
ฮอบสบอว์ม : ประสบความสำเร็จในแง่ที่ว่าสามารถทำกำไร สร้างเสียรภาพทางการเมืองและสังคมที่ทำให้คนพอใจ มันไม่ได้เป็นอุดมคติหรอก แต่เราอาจจะเรียกได้ว่า ทุนนิยมที่มีความเป็นมนุษย์อยู่บ้าง
ฮันท์ : และคุณคิดว่าความสนใจมาร์กซ์ที่เกิดขึ้นใหม่นั้น ส่วนหนึ่งมาจากจุดจบของรัฐมาร์กซิสต์/เลนินนิสต์เองไหม? อิทธิพลของเลนินนิสต์ได้จางหายไป และเราก็สามารถกลับไปสู่จุดดั้งเดิมของงานเขียนมาร์กซิสต์ได้?
ฮอบสบอว์ม : ด้วยการล่มสลายของสหภาพโซเวียต เหล่าทุนนิยมก็เลิกเกรงกลัวอีกต่อไป นั่นทำให้ทั้งพวกเราและพวกเขาสามารถเห็นปัญหาในมุมมองที่สมดุลย์มากขึ้น ถูกบิดเบือนด้วยอารมณ์ความรู้สึกน้อยว่าที่เคย แต่มากกว่านั้นมันเป็นความไร้เสถียรภาพของเศรษฐกิจโลกาภิวัฒน์แบบเสรีนิยมใหม่นี้ ที่ผมคิดว่าเริ่มปรากฏออกมาให้เห็นตั้งแต่ก่อนสิ้นศตวรรษที่แล้ว ในแง่หนึ่ง เศรษฐกิจโลกาภิวัฒน์เดินอย่างเต็มกำลังโดยสิ่งที่บางคนอาจจะเรียกว่า “โลกเหนือ-โลกตะวันตก” (ยุโรปตะวันตกและอเมริกาเหนือ [The global North-West]) โดยพวกเขาผลักดัน market fundamentalism อย่างสุดโต่ง โดยเริ่มแรกดูเหมือนจะไปได้ดี – อย่างน้อยก็ในกลุ่มโลกเหนือ-โลกตะวันตกเก่า – แม้ว่าตั้งแต่ต้นคุณจะเห็นว่า มันไปก่อให้เกิด “แผ่นดินไหว” ขนาดใหญ่ที่ชายขอบของเศรษฐกิจโลกก็ตาม ในละตินอเมริกามีวิกฤตเศรษฐกิจขนาดใหญ่ในช่วงต้นทศวรรษที่ 1980s ในช่วงต้นทศวรรษที่ 1990s เกิดความโกลาหลทางเศรษฐกิจในรัสเซีย และในช่วงปลายศตวรรษที่ผ่านมานี้มันมีสิ่งที่เกือบจะเป็น “ภาวะล่มสลายในระดับโลก” กระทบไปตั้งแต่รัสเซีย เกาหลีใต้ อินโดนีเซียและอาร์เจนตินา และผมรู้สึกว่านั่นก็เริ่มทำให้คนคิดว่า มันมีเสียรภาพขั้นพื้นฐานอยู่ในระบบที่พวกเขามองข้ามไปในตอนแรก
ฮันท์ : มีข้อเสนอที่ว่า วิกฤตเศรษฐกิจที่เราประสบตั้งแต่ปี 2008 มาในอเมริกา ยุโรปและอังกฤษนั้น ไม่ใช่วิกฤตของทุนนิยมโดยตัวของมันเอง แต่เป็นวิกฤตของทุนนิยมในตะวันตกสมัยใหม่ ในขณะเดียวกันบราซิล รัสเซีย อินเดียและจีน (กลุ่ม “Bric”) ก็มีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในโมเดลทุนนิยมไปด้วยอย่างรวดเร็ว หรือนี่เป็นเพียงแค่ตาเรารับกรรมกับวิกฤตที่พวกเขาได้รับเมื่อ 10 ปีที่แล้ว?
ฮอบสบอว์ม : การเติบโตของกลุ่มประเทศ Bric นั้น เพิ่งแสดงออกจริงๆในช่วง 10-15 ปีที่ผ่านมาเท่านั้นเอง ในแง่นั้นคุณสามารถกล่าวได้ว่ามันคือวิกฤตทุนนิยม แต่ในขณะเดียวกัน ผมว่ามันเสี่ยงที่จะเหมารวม – อย่างที่พวกเสรีนิมใหม่ และพวกที่เชื่อในตลาดเสรีเชื่อ – ว่ามันมีทุนนิยมเพียงชนิดเดียว ทุนนิยมคือกลุ่มที่มีความเป็นไปได้หลากหลาย จากทุนนิยมที่รัฐกำหนดอย่างฝรั่งเศสไปจนถึงตลาดเสรีของสหรัฐฯ ดังนั้นมันผิดหากจะเหมารวมว่าการโตของประเทศกลุ่ม Bric เป็นแบบเดียวกับทุนนิยมในตะวันตก มันไม่ใช่หรอก มีเพียงครั้งเดียวที่พวกเขาพยายามจะนำเข้าหลักการตลาดเสรี คือรัสเซีย และนั่นก่อให้เกิดความล้มเหลวอย่างรุนแรง
ฮันท์ : คุณเปิดประเด็นเกี่ยวกับผลทางการเมืองของวิกฤตเศรษฐกิจครั้งที่ผ่านมา ในหนังสือของคุณ คุณยืนยันว่าเราต้องกลับไปอ่านงานคลาสสิกของมาร์กซ์ในฐานะที่มันจะเสนอทางออกที่เกี่ยวข้องสำหรับปัจจุบัน แต่คุณคิดว่า มาร์กซิสต์ในฐานะการเคลื่อนไหวทางการเมืองอยู่ที่ไหน ณ เวลานี้?
ฮอบสบอว์ม : ผมไม่เชื่อว่ามาร์กซ์เคยมีโครงการทางการเมืองนะ พูดอย่างเป็นการเมืองก็คือ โครงการจริงๆของเหล่ามาร์กซิสต์คือชนชั้นแรงงานควรก่อตั้งตนเองขึ้นเป็นองค์กรที่มีจิตสำนึกทางการเมือง และดำเนินการทางการเมืองเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจรัฐ นอกเหนือจากนั้นมาร์กซ์ก็จงใจทิ้งเอาไว้ให้มีลักษณะคลุมเครือ นั่นก็เพราะเขาไม่ชอบอะไรที่มันเป็นอุดมคติ แต่ในขณะเดียวกันมันก็ทำให้กลุ่มต่างๆต้อง “ด้น” กันไปเอง ด้นกันไปเท่าที่พอจะทำได้โดยไม่มีข้อเสนอแนะที่เป็นรูปธรรม สิ่งที่มาร์กซ์เขียนยังเป็นเพียงความคิดเบื้องต้นเกี่ยวกับสมบัติสาธารณะ ไม่มีทางเพียงพอที่จะแนะแนวทางโดยละเอียดแก่พรรคการเมืองต่างๆและเหล่ารัฐมนตรี ความเห็นผมคือ โมเดลหลักที่สังคมนิยมและคอมมิวนิสต์ในศตวรรษที่ 20 คิดเอาไว้ก็คือ เศรษฐกิจที่รัฐกำหนดในช่วงเวลาสงคราม (state-directed war economies) ของสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ซึ่งแม้ไม่ได้เป็นสังคมนิยมโดยตรง แต่ก็ได้ให้แนวทางบางอย่างถึงวิธีที่สังคมนิยมจะประสบความสำเร็จได้
ฮันท์ : คุณไม่เซอร์ไพรซ์เมื่อเห็นความล้มเหลวของทั้งมาร์กซิสม์และสังคมนิยมประชาธิปไตย (social democratic) ถูกทิ้งให้รับกับวิกฤตทางการเมืองช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาด้วยตนเองหรือ? 20 ปีที่แล้ว มีการล่มสลายของพรรคการเมืองที่คุณชื่นชมที่สุด คือพรรคคอมมิวนิสต์ในอิตาลี คุณเครียดไหมที่เห็นสถานะของฝ่ายซ้ายในปัจจุบันทั้งในยุโรปและที่อื่นๆ?
ฮอบสบอว์ม : ใช่ แน่นอนละ จริงๆแล้วสิ่งหนึ่งที่ผมพยายามจะแสดงในหนังสือก็คือ วิกฤตของมาร์กซิสม์ไม่ได้เป็นเพียงวิกฤตของสายปฏิวัติของมาร์กซิสม์เท่านั้น แต่เป็นวิกฤตในสายสังคมนิยมประชาธิปไตยด้วย สถานการณ์ใหม่ในระบบเศรษฐกิจโลกาภิวัฒน์ได้สังหารไม่เพียงแต่มาร์กซิสม์/เลนินนิสม์ แต่รวมไปถึงการปฏิรูปสังคมนิยมประชาธิปไตยด้วย ซึ่งโดยสารัตถะแล้ว ก็คือชนชั้นแรงงานได้กดดันรัฐชาติของตนเอง แต่ด้วยโลกาภิวัฒน์ ความสามารถของรัฐในการตอบสนองต่อแรงกดดันเหล่านี้ได้หมดไป และดังนั้นฝ่ายซ้ายจึงถอยไปกล่าวว่า “เอาละ พวกทุนนิยมก็ทำได้ดีนะ สิ่งที่เราต้องทำคือให้พวกเขาทำกำไรให้ได้มากที่สุดแล้วเราก็จะได้ส่วนแบ่ง”
สิ่งนั้นเป็นไปได้เมื่อ “ส่วนแบ่ง” ได้ช่วยในการสร้างรัฐสวัสดิการ แต่จากทศวรรษ 1970s เป็นต้นมามันเปลี่ยนไป และสิ่งที่ทำกันตอนนั้นก็คือสิ่งที่ [โทนี่] แบลร์และ [กอร์ดอน] บราวน์ทำ : ให้พวกเขาทำเงินให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และหวังว่ามันจะพอเหลือให้คนมีชีวิตที่ดีขึ้นได้
ฮันท์ : เพราะฉะนั้นมันถึงมีการต่อรอง “ขายวิญญาณ” กันว่า ช่วงที่เศรษฐกิจดี กำไรต่อเนื่องและการลงทุนมั่นคงสำหรับการศึกษาและการสาธารณสุข เราก็จะไม่ถามคำถามมากเกินไปใช่ไหม?
ฮอบสบอว์ม : ใช่ ตราบเท่าที่คุณภาพชีวิตดีขึ้น
ฮันท์ : แล้วพอมาตอนนี้ เมื่อทำกำไรไม่ได้อย่างเคยแล้ว เรากำลังหาคำตอบกันอย่างยากลำบาก?
ฮอบสบอว์ม : ในขณะที่ตอนนี้สถานการณ์กำลังเป็นไปในอีกทางหนึ่งในประเทศตะวันตก การเติบโตทางเศรษฐกิจค่อนข้างจะนิ่ง หรือกำลังถดถอยด้วยซ้ำ คำถามเรื่องการปฏิรูปกลายมาเป็นเรื่องเร่งด่วนอีกครั้งหนึ่ง
ฮันท์ : คุณคิดว่า สำหรับฝ่ายซ้ายแล้ว การสิ้นสุดลงของจิตสำนึกทางชนชั้นของแรงงาน ซึ่งโดยดั้งเดิมแล้วเป็นแก่นแกนของการเมืองสังคมนิยมประชาธิปไตย เป็นส่วนหนึ่งของปัญหานี้ด้วยหรือเปล่า?
อีริค ฮอบสบอว์ม : ถ้ามองจากประวัติศาสตร์มันก็ใช่ รัฐบาลและการปฏิรูปสังคมนิยมประชาธิปไตยนั้นมีจุดร่วมอยู่ที่พรรคการเมืองของชนชั้นแรงงาน แต่พรรคการเมืองเหล่านี้ไม่เคยเป็น – หรือถ้าเคยก็น้อยมาก – แรงงานจริงๆ พวกเขาเป็นแนวร่วมพันธมิตร: เป็นพันธมิตรกับเหล่าปัญญาชนอิสระหรือปัญญาชนปีกซ้าย นักการศาสนาและวัฒนธรรมของคนส่วนน้อย และอีกหลายประเทศที่มีชนชั้นแรงงานยากจนที่มีลักษณะแตกต่างหลากหลาย ถ้าไม่นับรวมสหรัฐฯ ชนชั้นแรงงานเป็นกลุ่มแนวร่วมขนาดใหญ่มาเป็นเวลายาวนาน อย่างน้อยที่สุดก็ถึงทศวรรษที่ 1970s ทีเดียว ผมคิดว่าอัตราการลดการเป็นอุตสาหกรรม (deindustrialization) ที่รวดเร็วของสหรัฐฯ ไม่เพียงลดขนาดของชนชั้นแรงงานลงเท่านั้น แต่มันไปทำให้จิตสำนึกของชนชั้นหายไปด้วย และขณะนี้เองไม่มีประเทศใดที่มีพลังแรงงานอุตสาหกรรมล้วนๆที่จะแข็งแรงพอ
แต่สิ่งที่ยังเป็นไปได้ คือชนชั้นแรงงานก่อตั้งโครงสร้างการเคลื่อนไหวที่กว้างขวางเพื่อการเปลี่ยนแปลงสังคม ในฝ่ายซ้ายนั้นมีตัวอย่างที่ชัดเจนคือบราซิล ซึ่งมีกรณีคลาสสิกในปลายศตวรรษที่ 19 โดยการเป็นพันธมิตรกันระหว่างสหภาพแรงงาน คนงาน คนยากจน ปัญญาชน นักอุดมคติและฝ่ายซ้ายอื่นอีกหลายๆประเภท ซึ่งได้สร้างลักษณะการร่วมปกครองได้อย่างน่าสนใจ และคุณก็ปฏิเสธความสำเร็จของมันไม่ได้เมื่อหลังจาก 8 ปี ประธานาธิบดีที่กำลังจะหมดวาระมีอัตราการยอมรับจากประชาชนถึง 80% หากพูดถึงในเชิงอุดมการณ์แล้วล่ะก็ วันนี้ผมรู้สึก “อบอุ่น” ที่สุดกับละตินอเมริกา เพราะมันยังคงเป็นส่วนหนึ่งของโลกที่ยังสนทนาและกระทำการทางการเมืองในภาษาเดิมของสังคมนิยม คอมมิวนิสต์และมาร์กซิสม์ในศตวรรษที่ 19 และ 20
ฮันท์ : ในแง่ของพรรคมาร์กซิสต์ สิ่งที่เห็นอย่างชัดเจนในงานของคุณคือบทบาทของปัญญาชน วันนี้เราเห็นความกระตือรือร้นอย่างมหาศาลในมหาวิทยาลัยอย่างเช่นเบิร์กเบคที่คุณเคยสังกัด ความกระตือรือร้นเห็นได้จากการชุมนุมและการเดินขบวน และหากเราดูที่งานของนาโอมิ ไคลน์และเดวิด ฮาร์วีย์ หรือผลงานของสโลวอจ ซิเซ็ค เราจะเห็นความคึกคักอย่างชัดเจน คุณรู้สึกอย่างไรกับปัญญาชนมาร์กซิสต์วันนี้?
ฮอบสบอว์ม : ผมไม่แน่ใจว่ามันมีการเปลี่ยนแปลงอะไรขนาดนั้น แต่มีสิ่งหนึ่งที่ไม่ต้องสงสัย คือจากการลดค่าใช้จ่ายของรัฐบาล[อังกฤษ]ปัจจุบัน ได้ผลักให้นักศึกษาออกมาเคลื่อนไหวมากขึ้น นั่นคือด้านบวกนะ แต่ในด้านลบ...หากคุณดูการเคลื่อนไหวขนาดใหญ่ของนักศึกษาในปี 1968 เราจะเห็นว่ามันไม่ได้เป็นเช่นนั้นอีกแล้วในวันนี้ อย่างไรก็ดีอย่างที่ผมคิดในตอนนั้นจนกระทั่งถึงตอนนี้ มันดีกว่าที่จะมีคนหนุ่มสาวรู้สึกว่าพวกเขาอยู่ฝ่ายซ้ายมากกว่าที่จะมีคนหนุ่มสาวที่คิดถึงแต่ว่าสิ่งที่ต้องทำคือการไปหางานในตลาดหลักทรัพย์
ฮันท์ : แล้วคุณคิดว่าคนอย่างฮาร์วีย์และซิเซ็คมีบทบาทในการช่วยเหลือไหม?
ฮอบสบอว์ม : ผมคิดว่าซิเซ็คถูกเรียกอย่างถูกต้องแล้วว่าเป็นผู้จุดประเด็น เขามีพลังของการจุดข้อถกเถียง ซึ่งนั่นเป็นความสามารถที่ทำให้คนหันมาสนใจได้ แต่ผมไม่ใคร่แน่ใจนักว่า เหล่าคนที่อ่านซิเซ็คจะถูกดึงเข้ามาสู่การคิดใหม่ของปัญหาเกี่ยวกับฝ่ายซ้ายหรือไม่
ฮันท์ : ผมขอเปลี่ยนจากตะวันตกไปตะวันออกบ้างนะครับ คำถามหนึ่งที่เร่งด่วนที่คุณถามในหนังสือคือ พรรคคอมมิวนิสต์ของจีนสามารถพัฒนาและตอบสนองต่อที่ใหม่ของมันในเวทีโลกได้หรือไม่
ฮอบสบอว์ม : นั่นเป็นปริศนาข้อใหญ่ทีเดียว คอมมิวนิสต์ได้หมดไปแล้ว แต่องค์ประกอบอันสำคัญของคอมมิวนิสต์ยังอยู่ อยู่แน่นอนในเอเชีย ซึ่งเรียกว่า “สังคมที่ควบคุมโดยพรรคคอมมิวนิสต์ของรัฐ” (The state communist party directing society) สิ่งนี้มันธำรงอยู่ได้อย่างไร? ในจีนนั้น ผมคิดว่ามันมีความคิดว่าระบบกำลังไม่มั่นคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นี่คงจะเป็นแนวโน้มที่จะต้องให้พื้นที่สำหรับปัญญาชนชั้นกลางและผู้มีการศึกษาซึ่งกำลังเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ซึ่งในท้ายที่สุดจะมีจำนวนเป็นสิบเป็นร้อยล้านคน และมันก็จริงที่ว่าพรรคคอมมิวนิสต์จีนกำลังต้องการผู้นำที่เป็นเทคโนแครตเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
แต่คุณจะทำให้มันมาร่วมกันอย่างไรนั้น ผมไม่แน่ใจนัก สิ่งหนึ่งที่เป็นไปได้ท่ามกลางการกลายเป็นอุตสาหกรรมอย่างรวดเร็วนี้ คือการเติบโตของการเคลื่อนไหวของแรงงาน และคำถามอยู่ที่ว่าพรรคคอมมิวนิสต์จีนจะให้พื้นที่องค์กรแรงงานขนาดไหน หรือพวกเขาจะไม่ยอมรับมันเลย อย่างที่พวกเขามีท่าทีไม่ชัดเจนเกี่ยวกับกรณีที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน ผมไม่แน่ใจ
ฮันท์ :ชื่อหนังสือของคุณคือ How to Change the World คุณเขียนในย่อหน้าสุดท้ายว่า “การเข้าแทนที่ของทุนนิยมยังพอฟังได้สำหรับผม” นี่คือความหวังที่มีอยู่และเป็นสิ่งที่ทำให้คุณยังทำงานเขียนและคิดใช่ไหม?
ฮอบสบอว์ม : มันไม่มีอะไรที่เรียกว่าความหวังที่ยังมีอยู่ในวันนี้หรอก หนังสือเล่มนี้เป็นการอธิบายสิ่งที่มาร์กซิสต์ได้ทำอย่างถึงรากถึงโคนในศตวรรษที่ 20 ส่วนหนึ่งจากพรรคประชาธิปไตยต่างๆซึ่งไม่ได้มาจากมาร์กซ์และพรรคอื่นๆ – พรรคเลเบอร์ พรรคคนงานและอื่นๆซึ่งยังเป็นรัฐบาล และจะเป็นรัฐบาลได้ในทุกที่ และอีกอย่างหนึ่งจากการปฏิวัติรัสเซียและผลของมันทั้งหมด
งานของคาร์ล มาร์กซ์ ศาสดาผู้ไม่มีอาวุธ ได้ให้แรงบันดาลใจต่อการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ๆ นั่นปฏิเสธไม่ได้อยู่แล้ว ผมค่อนข้างจงใจที่จะไม่พูดว่ามันมีแนวทางแบบเดียวกันในวันนี้ สิ่งที่ผมกำลังพูดคือปัญหาพื้นฐานของศตวรรษที่ 21 ต้องการหาทางออกที่ไม่ใช่ตลาดล้วนๆ หรือประชาธิปไตยเสรีนิยมอย่างเดียวจะสามารถแก้ได้ และในแง่นั้น การผสมผสานที่แตกต่างของทั้งในสาธารณะและส่วนตัวของการกระทำ การควบและเสรีถาพโดยรัฐจะแก้ได้
คุณจะเรียกมันว่าอะไร ผมไม่รู้ แต่มันคงไม่ใช่สิ่งที่เรียกว่า “ทุนนิยม” อีกต่อไป ไม่ใช่ในแบบที่เข้าใจกันในประเทศนี้ [อังกฤษ] และสหรัฐอเมริกาแน่
Eric Hobsbawm, How to Change the World: Tales of Marx and Marxism (Little, Brown, 2011)
ดิ ออบเซิร์ฟเวอร์ 16 มกราคม 2011
Sunday, January 16, 2011
แม่มด/พ่อมดของศตวรรษที่ 21
หลังจากเปิดหนังสือเล่มนั้นอ่านไปแล้ว ผมว่าเกือบทุกคนที่อ่านหนังสือเล่มนั้นคงเป็นเหมือนกันกับผม คือวางไม่ลง ไม่รู้จะหยุดอ่านอย่างไร - โดยเฉพาะความตะลึงงันจากการโหมโรงด้วยฉากการประหารโดยการฉีกร่างนักโทษออกเป็นชิ้นๆ และอะไรหลายๆอยางที่ตามมา
แต่สิ่งหนึ่งที่ผมจับใจความได้ นั่นก็คือเมื่อสังคมยุโรปเปลี่ยนเข้าสู่ศตวรรษที่ 18 มนุษย์ได้เปลี่ยนแปลงการลงโทษไป จากการลงโทษที่กระทำลงไปที่ร่างกายนั้น ได้เปลี่ยนแปลง - หรือเพิ่ม - โดยการลงโทษด้วยการจองจำ
การลงโทษด้วยการจองจำนั้นแตกต่างออกไปอย่างไร แกได้ยกมาหลายข้อ โดยสำคัญคือมีการเฝ้าดู ('Surveiller' ในภาษาฝรั่งเศสแปลเป็น 'Discipline' ในฉบับภาษาอังกฤษ) ซึ่งเป็นสภาวะที่ "อำนาจ" ได้ย่างกรายเข้าไปถึงในระดับชีวิตประจำวันของคน
แกเสนอว่าสภาวะเช่นนี้หาได้เป็นการก้าวหน้าของมนุษยชาติไปสู่ความมีเสรีภาพมากขึ้นในสังคมสมัยใหม่ไม่ หากแต่การลงโทษด้วยการจองจำนั้น ได้ย้ายการลงโทษของมนุษย์ต่อมนุษย์จาก "ร่างกาย"(Body) ไปสู่ "วิญญาณ" (Soul) ของผู้ที่ถูกลงโทษเลยทีเดียว
"สรรพทัศน์" (แปลจาก 'Panopticon' - ด้วยคำแปลของอ.นพพร ประชากุล) เป็นสถาปัตยกรรมที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อการนี้โดยเฉพาะ ในอันจะสอดส่อง ตรวจตราพฤติกรรมของผู้ต้องโทษให้อยู่ใต้ "บงการ" ของอำนาจ
และเมื่อนั้นวิญญาณของผู้ถูกลงทัณฑ์ก็จะถูกกัดกินทีละน้อยๆ...
ผมได้ยินเรื่องเกี่ยวกับปฏิบัติการ "ล่าเนื้อมนุษย์" หรือ "ล่าแม่มด" (witch hunting) ในเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยเฉพาะเฟสบุ๊คมาสักพักแล้ว อย่างน้อยก็ปีกว่าๆ โดยเฉพาะในช่วงการเคลื่อนไหวทางการเมืองของคนเสื้อแดง เมื่อมีนาฯ - พฤษภา '53 นั้น ในเฟสบุ๊คนี่มีการแล่เนื้อเถือหนังกันอย่างโจ๋งครึ่มทีเดียว มีการขุดคุ้ยประวัติส่วนตัวขึ้นมา มีการด่าทอ วิพากษ์วิจารณ์ และตั้งกลุ่มขึ้นมาหาสมาชิกเกลียดคนอื่นร่วมกัน ฯลฯ
ผมคิดว่าก่อนและหลังปรากฏการณ์ล่าแม่มด/พ่อมดเสื้อแดงในเครือข่ายออนไลน์ชาวไทยนั้น ก็มีการ "ล่า" กันโดยตลอดอยู่แล้ว แต่ระดับความเข้มข้นคงจะตางกันออกไป (ขึ้นอยู่กับตัวเลขของผู้เข้าร่วม) - และผลกระทบต่อผู้ที่ "ถูกล่า" ก็คงจะแตกต่างกันออกไปด้วย ที่น่าสนใจและผมอยากรู้คือ ความเข้มข้นของปฏิบัติการ "ล่า" มีความสัมพันธ์กับความขัดแย้งทางการเมือง/เศรษฐกิจ/สังคม ของแต่ละประเทศอย่างไร พูดง่ายๆก็คือ ในประเทศอื่นๆที่มีความขัดแย้งทางการเมืองสูงเช่นประเทศไทย มีปฏิบัติการล่าเนื้อมนุษย์เข้มข้นเหมือนกันหรือไม่?
หนังสือพิมพ์มติชนออนไลน์เพิ่งเอาข้อวิเคราะห์ของสำนักข่าวรอยเตอร์มา โดยมีการยกตัวอย่างถึงกรณีล่าสุดที่เกิดขึ้นกับนักศึกษาอายุ 17 ปีและกรณีที่เกิดขึ้นในหลายๆประเทศในภูมิภาคเอเชีย เช่นจีนและเกาหลีใต้ ซึ่งมาสู่ข้อสรุปที่ว่าในขณะที่ยุคเครือข่ายทางสังคมออนไลน์กำลังเติบโตสุดขีด มันก็ได้สร้างผลเสียโดยผู้คนได้แสดงพฤติกรรมโดยขาดความยับยั้งชั่งใจมากขึ้น เพราะพวกเขารู้สึกว่าไม่ต้องรับผิดชอบต่อการด่าทอและใส่ร้ายผู้อื่นแต่อย่างใด - คือตีหัวแล้วเข้าบ้านได้อย่างสบายใจเฉิบนั่นละครับ
ปฏิกิริยาที่ผมได้รับจากสมาชิกของเครือข่ายสังคมออนไลน์ก็คือ ในสมาชิกหลายร้อยล้านคนก็ย่อมจะต้องมีผู้ใช้ที่ดีบ้างไม่ดีบ้างเป็นเรื่องธรรมดา - เครือข่ายสังคมออนไลน์สร้างเรื่องดีๆได้อีกมากมาย มากกว่าเรื่องที่ไม่ดีแยะ ฯลฯ
ไม่มีใครเถียงเรื่องนั้นครับ และทั้งหมดที่ว่ามานี้ก็ไม่ได้ถามว่าเราควรใช้เครือข่ายออนไลน์หรือไม่ - ประเด็นที่สำคัญกว่าคือเวลานี้เครือข่ายออนไลน์ได้เปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ของคนในสังคม (อย่างน้อยก็คนที่มีการศึกษา ชนชั้นกลาง) ไปแล้ว และสิ่งที่มันเปลี่ยนได้อย่างสำคัญคือ เรื่องของการ "ลงทัณฑ์" นี่ละ
จากการที่ฟูโกต์พูดถึงการเปลี่ยนแปลงในการลงโทษของมนุษย์เมื่อโลกเข้าสู่สมัยใหม่ในศตวรรษที่ 18 นั้น บัดนี้ในศตวรรษที่ 21 การ "เฝ้าดูและการลงโทษ" นั้นเปลี่ยนแปลงไปอีกแล้ว
พึงเข้าใจไว้ด้วยนะครับ เมื่อคุณตัดสินใจเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนเครือข่ายทางสังคมออนไลน์ขนาดอภิมโหฬารแล้วล่ะก็ คุณได้ "ให้อนุญาต" ตัวเองเข้าไปอยู่ในโลกแห่งการลงทัณฑ์แบบใหม่ที่ผมกล่าวมาด้วย
กล่าวคือ ในขณะที่ "การจองจำ" ตามที่ฟูโกต์เสนอนั้นเป็นเรื่องของสถาบันทางสังคมที่จัดการบงการ หรือสร้างความเป็น "ระเบียบเรียบร้อย" โดยในขณะเดียวกันก็ทำการลงโทษผู้ที่ไม่ "เข้าที่เข้าทาง" - เครือข่ายออนไลน์ขนาดใหญ่ได้ขยายสถานที่จองจำออกมาจากความหมายดั้งเดิม ให้การจองจำมาอยู่ในระดับชีวิตประจำวันโดยแท้จริง โดยไม่จำเป็นต้องติดอยู่กับทัณฑสถาน เสมอไป
หรือพูดอีกอย่างหนึ่ง คือโลกศตวรรษที่ 21 นั้น ในขณะที่ทุกคนพูดว่าเรากำลังเข้าใกล้กันมากขึ้น ในทางกลับกันก็หมายความว่า ทัณฑสถานนั้นได้ขยายขนาดให้เราเข้ามาอยู่เป็นนักโทษในห้องขังเดียวกันนั่นเอง
ในขณะที่ "ผู้พิพาษา" กำลังเปลี่ยนความหมายจากเจ้าหน้าที่ของรัฐ ไปเป็นทุกๆคน - รวมทั้งตัวคุณด้วย - สามารถทำการ "ตัดสิน" โทษของใครก็ตามที่กำลัง "นอกลู่นอกทาง" (ฮ่า! คราวนี้ไอ้ฟักก็สามารถเอาคืนได้ละ หากมีอินเตอร์เนต!) และ "สรรพทัศน์" ไม่ได้เป็นหอคอยที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงกลางเพื่อเฝ้าดูอีกต่อไป แต่สรรพทัศน์ได้แทรกเข้าไปที่ม่านตาของนักโทษทุกคนให้สอดส่องกันและกันเอง เป็นการเฝ้าดูอย่างสมบูรณ์แบบ (perfect surveillance)
เพราะฉะนั้นอย่าแปลกใจหากจู่ๆจะมีคนเกลียดขี้หน้ากันโดยที่แต่ละคนก็ยังไม่รู้สาเหตุมากขึ้น เพราะกระบวนการลงทัณฑ์ได้ทำงานแล้วอย่างไรละครับ มันจะทำงานไปเรื่อยๆ ไม่หยุด ไม่ต้องมีลูกขุน ไม่ต้องมีตุลาการ ไม่ต้องมีอัยการสั่งฟ้อง มีเพียงการตัดสิน การคว่ำบาตร การเขม่น การซุบซิบนินทา การก่นด่า ฯลฯ
มันเป็นการเฝ้าดูสมบูรณ์แบบก็เพราะว่า แม่ว่าทุกคนรู้สึกว่าถูกเฝ้าดู (และตรวจสอบ) แต่พวกเขาเต็มใจ และยินยอมจะถูกเฝ้าดู ยินยอมจะเป็นส่วนหนึ่งของมันโดยดุษฎี
โดยที่ผมยังไม่แน่ใจว่ามันต้องแลกมาด้วยอะไรบ้าง