Thursday, August 6, 2009

สัมภาษณ์ : อีวาน คลีมา


ผมเข้าใจว่านักอ่านไทยไม่ค่อยจะรู้จักนักเขียนชาวเชคมากไปกว่ามิลัน คุนเดอรา แต่หากพิจารณาถึงวงการวรรณกรรมของเชค เราจะเห็นว่ามีนักเขียนอยู่หลายคนที่มีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงสังคม ต่อไปนี้คือเรื่องราวของอีวาน คลีมา นักเขียนเชคอีกคนหนึ่งที่มีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง

ขอเชิญอ่านครับ



คนเชกหัวดื้อที่เป็นนักเขียนมีชื่อผู้นี้ใช้ช่วงเวลาแรกของชีวิตในค่ายกักกัน ซึ่งนั่นเป็นจุดเริ่มต้นของการเรียกร้องซึ่งอิสรภาพของเขา เมื่อรถถังรัสเซียมุ่งเข้าสู่ปรากในปีค.ศ.1968 นั้น เขากำลังเดินทางไปสหรัฐฯเพื่อสอนหนังสือ แต่ด้วยวิญญาณนักต่อสู้ เขาเดินทางกลับประเทศของตน และใช้ชีวิตแบบ "ผู้ถูกเนรเทศในบ้านเกิดของตนเอง" เขาให้สัมภาษณ์ทิม อดัมส์ถึงการใช้ชีวิต ความรัก และช่วงเวลาอันควรจดจำของตน




เมื่ออีวาน คลีมาเกิด เขาก็รู้ทันทีว่าเสรีภาพนั้นเป็นอย่างไร นั่นก็เพราะเสรีภาพเป็นสิ่งตรงกันข้ามกับชีวิตในวัยเด็กของเขานั่นเอง ในปีค.ศ.1941 คลีมาอายุสิบขวบ พ่อของเขาถูกส่งไปในการขนส่งของพวกนาซีรอบแรกสุด ไปสู่ "ป้อมแห่งความแออัด" ในเทเรซิน (Terezin) ทางตอนเหนือของปราก และจากนั้นทั้งครอบครัวก็ต้องตามไป คลีมาอยู่ที่เทเรซินตลอดช่วงสงคราม เขาบอกว่าตัวเองไม่เคยรู้มาก่อนว่าพ่อแม่เป็นชาวยิว กระทั่งฮิตเลอร์ขึ้นสู่อำนาจ

เขาเคยเขียนในครั้งหนึ่งว่า "ใครก็ตามที่เคยผ่านค่ายกักกันสมัยยังเด็ก ใครก็ตามผู้ซึ่งมีชีวิตแขวนอยู่กับอำนาจที่จะสามารถเข้ามาทำร้ายเข่นฆ่าเขา หรือคนรอบตัวเขาเมื่อใดก็ได้นั้น คงย่อมจะมีบทเรียนชีวิตแตกต่างจากคนที่โตขึ้นมาอย่างสมบูรณ์และได้รับการศึกษาไปบ้าง เพราะชีวิตแบบนั้นเป็นดั่งเชือกเส้นบางๆ ที่สามารถขาดได้ทุกเมื่อ และนั่นเกิดกับผมทุกวันในยามเด็ก"

แต่มันก็ยังมีบทเรียนอื่นอีก - บทเรียนแห่งการเอาตัวรอด และบทเีรียนแห่งการหลบหนี - ขณะที่อยู่ในเทเรซิน คลีมามีหนังสือเล่มเดียวคือ The Pickwick Papers เขาอ่านมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า และเดินเข้าำไปในโลกแห่งถ้อยคำของแซม เวลเลอร์และนาธาเนียล วิงเกิล ขณะนั้น, เสรีภาพได้สถาปนาขึ้นในจิตใจของเขาดั่งเรื่องเล่า

แล้วเขาก็เริ่มเขียนขณะยังอยู่ในค่าย เขียนโดยรู้ตัวว่าแต่ละหน้าที่จบไปอาจเป็นหน้าสุดท้าย ในขณะเดียวกันก็พบว่าการเขียนเป็นกลวิธีในการหลบหนีที่ดีเยี่ยม เขาเขียนบทละครและทำหุ่นเพื่อแสดงเอง เขียนเรื่องเกี่ยวกับเด็กหญิงที่เขาหลงใหล ฝันกลางวันไปกับรักแรกของตนเอง ผัสสะแห่งการปลดปล่อยที่เขาค้นพบในแต่ละประโยคๆไม่เคยหนีจากเขาไปไหน "ผมติดตามอิสรภาพที่ร่ำร้องอยู่ภายในเสมอ" คลีมาบอกที่บ้านในปรากของเขา "นั่นทำให้ผมไม่เคยถูกเซนเซอร์"

ประสบการณ์ที่เขาเรียกว่า "วัยเยาว์" ของตนเองนั้น ถึงเวลานี้มันปรากฏเด่นชัดอยู่ในใจภายใต้ฐานะนักเขียน กระทั่งเมื่อเขาโตแล้ว เขาก็ยังนอนโดยเอาผ้าพันคอปิดหน้าเอาไว้ เป็นนิสัยที่ติดตัวมาตั้งแต่สมัยอยู่ที่เทเรซิน เพราะที่นั่นไม่เคยปิดไฟ ผ้าพันคอเป็นเหมือนผ้าห่มอันอุ่นไอ และขณะเดียวกันก็เป็นกลไกในการป้องกันตนเอง เขามักฝันซ้ำๆเสมอมา ฝันว่าถูกจับตัว ถูกคุมขัง ฝันร้ายเหล่านี้มาทุเลาลงในหลังๆมานี้เท่านั้นเอง เวลานี้คลีมาอายุ 77 ปีและกำลังเขียนบันทึก My Crazy Century อยู่อย่างขะมักเขม้น

"ประมาณสักเจ็ดสิบเปอร์เซนต์ของชีวิตผมนั้นปราศจากซึ่งเสรีภาพ" คลีมาบอก หากแต่จริงๆแล้วเขาถ่อมตัวเกินไปที่จะไม่พูดถึงการอุทิศตนเพื่อการต่อสู้ของเขา หลังจากเทเรซิน, โซเวียตได้เข้ารุกรานเชคโกสโลวาเกีย มันเป็นช่วงเวลาแห่งความหวังสั้นๆในฤดูใบไม้ผลิของปีค.ศ.1968 คลีมาเองก็เป็นหนึ่งในหัวหมู่ในเวลานั้นซึ่งยืนหยัดต่อต้านระบอบเผด็จการที่ยาวนานถึง 21 ปี ก่อนจะเกิดการปฏิวัติในค.ศ.1989 (Velvet Revolution) ตลอดเวลาเหล่านี้ ไม่มีสักเวลาที่เขาจะไม่คิดเกี่ยวกับเสรีภาพ และยังเชื่อว่าเราจะได้รับอิสรภาพผ่านการเขียนความจริงออกมา

ปัจจุบันคลีมาอาศัยอยู่ที่ชายป่าทางตอนใต้ของปราก ลูกสองคนและครอบครัวของพวกเขาต่างก็อยู่บนถนนเส้นเดียวกัน เกือบทุกเช้าเขาจะออกไปเก็บเห็็ดจากตามโคนต้นไม้ในป่า ฟิลิป รอธ เพื่อนของเขาแซวว่า ด้วย "ทรงผมแบบบีเทิลส์" และ "ฟันแบบสัตว์กินเนื้อ" ของเขานั้น เขาดูเหมือน "ริงโก สตาร์ที่มีวิวัฒนาการทางปัญญาแล้ว" - แม้จะดูเหมือนเช่นนั้น แม้ผมเขาจะขาวเสียแล้ว แต่มันยังมีความเป็นโบฮีเมียนอย่างเด็ดเดียวในทุกๆอณูของตัวเขา และยังยืนหยัดอยู่เช่นนั้น แม้เขาจะเป็นคนหัวเราะง่าย ก็นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาเป็นคนผ่อนคลายนัก หนังสือ 30 กว่าเล่มของเขาถูกเขียนขึ้นด้วยจิตใจ ความสัตย์ซื่อ ความกล้าหาญ ความโรแมนติก และบางครั้งด้วยความพยายามค้นหาปรัชญาอะไรบางอย่าง

ผมเจอคลีมาก่อนหน้านี้ครั้งหนึ่งในปีค.ศ.1991 ขณะที่ยังทำงานให้กับสำนักพิมพ์กรันตา ผมเป็นบรรณาธิการหนังสือแปลของเขาสองสามเล่ม เราไปกินข้าวกันในภัตตาคารหรูทางตะวันตกของลอนดอน ผมคิดอย่างไร้เดียงสาว่าหลังค.ศ.1989 เขาจะเปลี่ยนวิถีชีวิต ทำตัวเป็นดารา หากแต่มันไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย เขายังระมัดระวังที่จะไม่สรุปอะไรอย่างง่ายๆ และไม่แสดงความพึงใจอย่างเกินพอดี เขายืนยันที่จะกินเพียงขนมปังและซุปผัก และพยายามเรียนรู้ผมด้วยอารมณ์ขันอันแหบห้าวในขณะที่ผมพร่ำถามเกี่ยวกับความรู้สึกของเขายามได้รับอิสรภาพ เขาตอบกลับมาด้วยท่าทีอันว่างเปล่าสะท้อนถึงวันเวลาที่คนรุ่นเราได้เสียไป

เวลานี้ที่บ้านของเขา เขาดูอบอุ่นขึ้นมาบ้างแต่ก็ไม่ได้คลายความเป็นนักวิพากษ์วิจารณ์ของตนลงไปเลย "สำหรับคนรุ่นใหม่" เขาพูด "ปีค.ศ.1989 ได้กลายเป็นประวัติศาสตร์อันเก่าแก่ไปแล้ว ตอนที่ผมไปปรากเพื่อไปสัมมนากับนักเรียนเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นในเวลานั้น ผมมักต้องอธิบายก่อนว่าคอมมิวนิสต์คืออะไร เพราะเด็กพวกนั้นไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมันเลย"

สำหรับเขาแล้ว เขายังให้ความสำคัญกับประวัติศาสตร์เสมอ "เมื่อเวลาผ่านไป, แม้ทุกอย่างมันเหมือนจะหลีกเลี่ยงไม่ได้แล้วก็ตามในปัจจุบัน แต่ในเวลานั้นความรู้สึกมันไม่ได้เป็นอย่างนี้เลย มันมีเปเรสทรอยกาในรัสเซีย และในประเทศผมก็มีการต่อต้านระบอบและผู้สมรู้ร่วมคิดของมันกันอยู่ทั่วไป ซึ่งการต่อต้านก็เกิดจากพลเมืองชั้นสามนี่ละ - แม้ทุกสิ่งจะต้องเปลี่ยนไปก็ตาม แต่ผมประหลาดใจว่า ทำไมมันจึงเร็วนัก?"

คลีมาในเข้าไปอยู่ในโรงละคร Magic Lantern ในวันที่การปฏิวัติ Velvet ถูกจุดขึ้นโดยแวคลาฟ ฮาเวลและเพื่อนของเขาที่ส่วนใหญ่เป็นนักเขียน ซึ่งต่อต้านรัฐบาลในเดือนพฤศจิกายนของปีนั้น เขาถูกเชิญให้พูดบนเวที, เขาบอกว่านั่นเป็นครั้งแรกในรอบสองทศวรรษที่เขาได้รับอนุญาตให้พูดในที่สาธารณะบนผืนดินเกิดตัวเอง มันเป็นช่วงเวลาที่มากล้นด้วยอารมณ์ทีเดียว

"ผมพูดอะไรบางอย่างง่ายๆเกี่ยวกับสถานการณ์ในเวลานั้น และได้รับเสียงตบมือดังกระหึ่มกลับมา" คลีมาเท้าความถึงเวลานั้น "ที่แปลกคือหลังจากนั้นก็มีคนอีกหลายคนมาบอกกับผมว่า พวกเขาไม่รู้มาก่อนว่าผมอยู่ในปรากในช่วงเวลานั้น นักเขียนที่ถูกขึ้นบัญชีดำจะถูกระบอบทำให้เป็นผู้ไร้ตัวตน คนจึงนึกว่าเราถูกเนรเทศไปแล้ว - ซึ่งจริงๆก็ไม่ผิดหากจะกล่าวเช่นนั้น"

จากเหตุการณ์ในวันนั้นต่อมา ฮาเวลสหายของคลีมาก็ได้ขึ้นเป็นประธานาธิบดี และเพื่อนของเขาหลายๆคน ทั้งที่เป็นนักเขียนและนักวิชาการก็ได้เขารับตำแหน่งรัฐมนตรี นั่นคล้ายจะเป็นเหมือนตอนจบอันสุขสันต์ของชีวิตเขาเลยก็ว่าได้ เพราะมันเป็นเหมือนทำให้ความหวังของเขาที่เคยหายไปได้กลับมาเป็นจริง

หากค.ศ.1989 เป็นตอนจบอันสุขสันต์แล้วล่ะก็ คลีมาบอกว่าช่วงเวลาอันเลวร้ายที่สุดก็คือค.ศ.1970 เมื่อรถถังรัสเซียวิ่งเข้าสู่ปรากในปีค.ศ.1968 เวลานั้นคลีมาอยู่ในลอนดอน ระหว่างทางจะไปสอนหนังสือที่มิชิแกน เมื่อได้ข่าวเขาก็แทบจะควบคุมตัวเองไม่ได้ เขายังเดินทางไปสหรัฐฯกับครอบครัว และเมื่อภาระการสอนของเขาจบลง ปีต่อมาเขาก็ต้องพบกับการตัดสินใจที่ยากที่สุดในชีวิตของเขา เขาควรจะลี้ภัยอยู่ในสหรัฐฯเหมือนกลุ่มผู้ต่อต้านคนอื่นๆ หรือเขาควรพาครอบครัวกลับบ้าน?

"ทุกคนเตือนผมว่า อย่ากลับไปนะ เขาจะส่งคุณไปไซบีเรีย" คลีมากล่าวถึงช่วงเวลานั้น "แต่ผมกลับรู้สึกว่ามันไม่มีเหตุผลที่จะอยู่ต่างประเทศในฐานะนักเขียน นอกจากภาษาแล้วผมจะไม่ได้ติดต่อกับคนชาติเดียวกันที่เราเข้าใจมากที่สุด ผมรู้สึกชอบอเมริกาอยู่เหมือนกัน แต่ปัญหาของพวกเขาไม่ใช่ปัญหาของผม"

คลีมากลับเมื่อเดือนมีนาคมค.ศ.1970 ขณะที่การกวาดล้างของโซเวียตกำลังดำเนินถึงจุดสูงสุด "มันหนาวมาก" เขาเท้าความ "พวกเขาแบนทุกคนที่ไปเกียวข้องกับเหตุการณ์เมื่อฤดูใบไม้ผลิ คน 400,000 คนตกงาน ซึ่งเกือบทั้งหมดเป็นแรงงานทักษะูสูง ครู อาจารย์ ทุกคนที่ทำงานวิทยุ โทรทัศน์ พวกสหภาพแรงงาน" คลีมาถูกขึ้นบัญชีดำในฐานะนักเขียน และถูกห้ามทำงานยกเว้นก็แต่งานรับใช้ เขาถูกยกเลิกหนังสือเดินทาง ถูกยึดใบขับขี่ ถูกตัดสายโทรศัพท์ เขาถูกขู่ว่าจะถูกขังคุกหากหนังสือของเขาตีพิมพ์ในต่างประเทศ

คลีมาต่อสู้กลับในทันที "ผมจัดกิจกรรมการอ่านขึ้นหลังจากที่เรากลับมาได้สัปดาห์เดียว" เขากล่าว "ผมเชิญแขกประมาณ 45 คน เต็มห้องนั่งเล่นบ้านเราพอดี ผมก็เตรียมมีทบอลให้แขก ซึ่งถูกเรียกติดปากว่า "คลีมาบอล" แล้วก็มีการดื่มไวน์กันนิดหน่อย มีคนอ่านอะไรบางอย่างที่เพิ่งถูกเขียนขึ้น และมันเป็นอย่างนั้นต่อมาในทุกสัปดาห์ ผมจำได้ว่าฮาเวลมาอ่านบทละครใหม่ของเขาสองเรื่อง และ [มิลัน] คุนเดอรา ที่เวลานั้นยังอยู่ในปราก ก็มาอ่านอะไรอยู่บ้างเหมือนกัน"

หลังจากประมาณปีหนึ่งผ่านไป เพื่อนของคลีมาลุดวิค วาคูลิค (ผู้เขียน A cup of coffee with my interrogator) ได้พาชายคนหนึ่งมาจากออสตราวา (Ostrava) ผู้เป็นนักเขียนที่เคยติดคุกมาปีหนึ่ง ชายคนนี้ต่อมาฆ่าตัวตาย เขานี้เองไปร่วมมือกับตำรวจลับเำื่พื่อเปิดเผยชื่อของทุกคนในกิจกรรมการอ่านนี้พร้อมด้วยรูปถ่ายของคนที่เข้าออก "ถึงจุดนั้น พวกเราก็ถูกเปิดเผยแล้ว" เขาบอก

นักเขียนถูกสะกดรอยตาม ถูกค้นบ้าน การนัดพบทำได้ยากขึ้น แ่ต่คลีมาบอกว่า "พวกเรายังพยายามติดต่อกันอย่างใกล้ชิด" มีการแนะนำให้ส่งงานเขียนเวียนกันไปในกลุ่ม รวมทั้งหนังสือ เำื่พื่อให้การกระจายความคิดทำได้ต่อไป เรียกว่า "samizdat" (พิมพ์เอง) นิยาย บทกวีและบทละครจึงถูกเขียนขึ้น โดยเริ่มต้นจากแฟนของวาคูลิค และทำซ้ำและเวียนไปในหมู่เพื่อน ตอนแรกทำออกมา 14 เล่ม และต่อมาก็เพิ่มขึ้นเป็น 50 ถึง 60 เล่ม จนกระทั่งมันแพร่กระจายออกไปอย่างกว้างขวางถึงหลักพันในวงการหนังสือใต้ดิน

ขณะที่เขากำลังเล่าเรื่องราวเหล่านี้ คลีมาเดินไปที่ชั้นหนังสือที่เหยียดยาวสุดห้องนั่งเล่นของเขา และดึงหนังสือเล่มบางๆออกมาบางเล่ม ซึ่งพิมพ์สองด้านบนกระดาษแอร์เมล์ "นี่เป็นหนึ่งในบทละครของฮาเวล และนี่คือบทกวีของเยโรสลาฟ ซีเฟอร์ต" - เหล่านี้คือประวัติศาสตร์ของการต่อต้านเย็บเล่มเอาไว้ด้วยกันอย่างประณีต

"สุดท้ายแล้วภายใน 18 ปี เราพิมพ์กันได้ 300 ฉบับ" ตอนแรกตำรวจพยายามยึดหนังสือพิมพ์เองเหล่านี้ตามบ้าน แต่มันแพร่กระจายไปเร็วเกินกว่าจะควบคุมได้ มันเป็นฝันร้ายที่แท้จริงของตำรวจลับ "และมันก็เป็นสิ่งที่ทำให้พวกเราไปกันต่อได้" คลีมาบอก

ในช่วงเวลาหลายปีนั้น คลีมาก็เหมือนๆกับปัญญาชนที่ถูกกวาดล้างคนอื่นๆ เขาทำงานไปทั่ว ไม่ว่าจะเป็นคนขับรถพยาบาล นักสำรวจ คนกวาดถนน - ซึ่งเหล่านี้เป็นวัตถุดิบของนิยายของเขาเอง - เขายังมีกิจกรรมอย่างอื่นด้วยในยามกลางคืน คือการเอาต้นฉบับของสำนักพิมพ์ตะวันตกผ่านเพื่อนในสถานทูตหรือไปเยี่ยมเยียนนักเรียนของตัวเอง

นิยายของเขาเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตที่ดำเนินมาก่อนหน้านั้น และส่วนใหญ่ก็จะเกี่ยวข้องกับวิธีการใช้ชีวิตแบบ "ธรรมดา" ในระบอบเผด็จการ เล่มที่ประสบความสำเร็จที่สุดเล่มหนึ่งเป็นกึ่งอัตชีวประวัติเรื่อง Love and Garbage ซึ่งเกี่ยวกับชีวิตของเขาตอนที่เป็นคนกวาดถนน ที่มีปัญหาขัดแย้งระหว่างความรักที่เขามีให้กับภรรยาและความสัมพันธ์กับผู้หญิงอื่น

การมีชีวิตอยู่ในความจริงทางการเมืองของเขานั้นง่ายกว่าทางความสัมพันธ์แบบหญิงชายมาก "ความรัก การนอกใจและการประนีประนอมดูจะส่งผลแก่ทุกๆคนในการมีชีวิตอยู่ในความจริง" ความเป็นจริงที่เต็มไปด้วยเรืองราวของชีวิตดูจะทำให้จินตนาการโรแมนติกไปไกลกว่าขอบเขตใดๆ

"สำหรับผม ผมชอบผู้หญิงมาตลอด" เขาบอก "บางครั้งผมรู้สึกว่าตกหลุมรัก ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่นะ แม้กระนั้นชีวิตแต่งงานของผมก็มีความสุขมาก ปีที่แล้วเราเพิ่งฉลองครบรอบห้าสิบปีด้วยกัน" ครึ่งหนึ่งของคนรุ่นผมนั้นจะหย่าร้าง สำหรับผมการหย่าร้างคือการเลือกที่จะเข้าไปสู่สถานการณ์เดิมอีกครั้ง แต่ด้วยความเจ็บปวดที่ฝังอยู่แต่เดิมทั่วไปหมด"

บางครั้งคลีมาก็เขียนเกี่ยวกับเหตุการณ์ปีค.ศ.1989 ด้วยน้ำเสียงแบบสัมพันธภาพของความรัก โดยเฉพาะในงาน Waiting for the Darkness, Waiting for the Light ซึ่งตัวละครหลักปาเวล ผู้กำกับโทรทัศน์ที่อาชีพการงานพังทลายเพราะระบอบคอมมิวนิสต์ ได้ไปเข้าร่วมเหตุการณ์ปฏิวัติในเดือนพฤศจิกายน

"อากาศฉุนกึกด้วยกลิ่นซากศพของคนตายที่อวลอบ..." ปาเวลรู้สึก "และอารมณ์อันแปลกแปร่ง หรือกระทั่งเรียกได้ความความปรีดานั้นได้เกิดขึ้น และดูเหมือนว่าได้พาทุกคนมารวมกัน ความรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเช่นนี้ได้ทำให้เขาแปลกใจ เพราะไม่ได้เตรียมตัวมาก่อนเลย..."

ในฝูงชนปาเวลพบกับสตรีที่ครั้งหนึ่งเขาเคยรัก และเธอก็จูบเขาอย่างทันทีทันใด ในเวลาต่อมาปาเวลพยายามบอกเธอถึงความใกล้ชิดที่ทั้งสองมีในคืนวันรัฐประหาร

"มันเป็นชั่วขณะนั้นที่ทำให้มันเกิดขึ้น ปาเวล มันเป็นเรื่องของเวลา" เธอบอกแก่เขา
"เวลานั้นในอวสานไปหรือไร?"
"เวลาเช่นนั้นอยู่ได้ไม่นานนักหรอก"

เวลาของหลายคืนในเดือนพฤศจิกายน 1989 จะอยู่ยาวนานเท่าใดกันสำหรับคลีมา?

เขายิ้ม "ผมมีความสุขกับมันนานเท่าใดน่ะหรือ? มันน่าสนใจมากที่ผู้คนยอมรับอิสรภาพในฐานะที่มันเป็นเรื่องธรรมดาในเวลาอันรวดเร็ว ทั้งๆที่เราต่อสู้เพื่อมันมายาวนานเหลือเกิน" เขาบอก "ในสัปดาห์หรือเดือนแรกๆคุณไม่ได้คิดถึงมันหรอก แต่คุณจะต้องการเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆที่ทำให้คุณโกรธ คอร์รัปชั่นอะไรอย่างนั้น ปัญหาสิ่งแวดล้อม การพึ่งพิงตลาดจนเกินพอดี ซึ่งก็เป็นอีกรูปแบบหนึ่งของพันธนาการ เพราะฉะนั้นความรู้สึกมันไม่ได้อยู่นาน แต่การเปลี่ยนแปลงสู่ประชาธิปไตยนั่นละ ที่ยังคงอยู่"

คลีมาได้รับการทาบทามให้ไปรับตำแหน่งในรัฐบาลของฮาเวล แต่เขาปฏิเสธมันทั้งหมด "สำหรับผม จุดประสงค์ในการต่อสู้ของผมคือทำทุกอยางเท่าที่จะทำได้ในการล้มล้างระบอบอันเลวร้าย เมื่อมันเกิดขึ้นสำเร็จ ก็ถือว่าเพียงพอแล้ว ในเวลานั้นสิ่งเดียวที่ผมอยากทำคือกลับไปเขียนหนังสือต่อ และสามารถพิมพ์มันออกมา"

หลายสัปดาห์หลังเหตุการณ์ค.ศ.1989 หนังสือของคลีมาถูกตีพิมพ์อย่างรวดเร็วในปราก Love and Garbage ขายได้ 100,000 เล่ม เรื่องราวของเขา My Merry Morning ขายได้ 150,000 เล่ม มีคนต่อแถวยาวที่ร้านหนังสือทั่วจัตุรัสเวนเซสลาส เวลานี้หนังสือของเขาทั้งหมดขายได้เรื่องละอย่างน้อย 4,000 เล่ม

เขาพูดถึงการเปลี่ยนแปลงนี้ว่า "นี่มันเป็นเรื่องธรรมดา ที่แตกต่างคือหากเวลานี้ผมต้องการพูดอะไร ผมสามารถไปที่สถานีวิทยุหรือหนังสือพิมพ์และพูดมัน และก็จะไม่มีใครฟัง คนเดี๋ยวนี้ยุ่งอยู่กับรายการโชว์เท่านั้นเอง เมื่อก่อนผมมีแค่พิมพ์ดีด แต่ทุกคนกระเหี้ยนกระหือรืออยากอ่านงานของผม"

คลีมาใช้ชีวิตอยู่มานานและเห็นความขมขื่นของสถานการณ์เช่นนี้มามาก อาจมากเกินไปด้วยซ้ำ - แต่ก็นั่นละ, มันเป็นเช่นนั้นเอง

"เราไม่ได้หวังว่าสวรรค์จะลงมาอยู่บนดินในเดือนพฤศจิกายนปีนั้น" เขากล่าวก่อนที่ผมจะจากมา "แต่ในท้ายที่สุด เราได้รับอิสรภาพ"


อีวาน คลีมา

เกิด : 14 กันยายน ค.ศ.1931 ที่ปราก
ครอบครัว : แต่งงานกับเฮเลนา นักจิตบำบัดในปีค.ศ.1958 มีลูกด้วยกันสองคน ไมเคิลเป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ และฮานาเป็นศิลปิน
งานชิ้นหลัก : My Merry Morning (1985), Love and Garbage (1986), Judge on Trial (1991), My Golden Trade (1992), Waiting for the Dark, Waiting for the Light (1994), No Saints or Angels (2001)


The Observer, 2 สิงหาคม 2009


Friday, July 31, 2009

ราตรีสวัสดิ์

วันนี้ฉันมีนิทาน อยากเล่าให้เธอฟัง
นิทานเรื่อง ท ทหาร อดทน
เวลาเค้ายืนเค้าแนบปืนกลไว้ข้างกาย
ทั้งที่เค้าไม่เคยใจร้ายและไม่เคยคิดฆ่าคน
แต่เป็นอีกคืนที่เค้าต้องออกลาดตระเวน
เป็นหน้าที่ของกองพันทหารราบผู้รักตัวเอง น้อยกว่าชนในชาติไทย

เพราะรู้ว่าเลือดเนื้อเค้าจะสละไม่ให้เราเป็นทาสใคร
ในขณะนั้น ผู้ก่อการร้ายซุ่มโจมตี
เสียงปืน ดังสนั่นตอนเวลาเลยเที่ยงคืนกว่า
เสียงระเบิดดังก้องกึกไปทั่วทั้งป่า
พร้อมเสียงกระสุนปืนทะลุตัวจ่า
เค้ารีบยกปืนกลข้างกายประทับบ่า
ในขณะที่ยิงสวนไปเค้าคิดแต่ว่า
ถ้าคืนนี้เป็นคืนสุดท้ายของชีวิต
เค้าก็ยินดีที่จะสละทุกอย่างด้วยยศอันน้อยนิด
ขอเพียงคนในชาติได้หลับสบาย เค้าจะยืนหยัดปกป้องแผ่นดินแม้ชีพมลาย

ในราตรีที่ด้ามขวานลุกเป็นไฟ
ประเทศไทยเจ้าเอ๋ยมีคนฝากเพลงนี้มาให้


หลับตาเถอะนะ ขอให้เธอหลับฝันดี
คืนนี้ไม่ต้องห่วง ตรงนี้ฉันจะดูแลด้วยชีวิตของฉัน

ในคืนที่ผมกินเหล้าอยู่นั่งเล่น
ในคืนที่ป้าข้างห้องยังตั้งวงป๊อกเด้ง
คืนที่เด็กมัธยมนั่งท่องตำราเอนท์จุฬา
คืนที่ใครหลายคนลืมชื่อคนเดือนตุลา
คืนที่คุณนอนหลับอยู่บนเตียง
ทั้งหมดคือคืนเดียวกันกับเสียงปืนที่ดังเปรี้ยง
ของทหารต่อต้าน ข.จ.ก.
ผู้ไม่ยอมให้ใครมาเผาโรงเรียน เผาตำรา ส.ป.ช.
และยังไม่มีตอนจบของนิทาน
มีเพียงแต่ตอนรุ่งสางไม่เป็นศพก็พิการ
เพราะในทุกเช้าที่เราตื่นมาเมาขี้ตา
มันคือเช้าแห่งการสูญเสียที่ 5 องศา 37 ลิปดา
เขาตายเพื่อคนในชาติได้หลับสบาย
เขาจะยืนหยัดปกป้องแผ่นดินแม้ชีพมลาย

ในราตรีที่ด้ามขวานลุกเป็นไฟ
ประเทศไทยเจ้าเอ๋ยมีคนฝากเพลงนี้มาให้

หลับตาเถอะนะ ขอให้เธอหลับฝันดี
คืนนี้ไม่ต้องห่วง ตรงนี้ฉันจะดูแลด้วยชีวิตของฉัน
ฝากดาวบนฟ้า ร้องเพลงนี้ให้เธอฟัง
หากฉันไม่ได้กลับ อย่างน้อยให้เธอหลับสบายก็พอแล้ว

ได้ยินเพลงนี้ทางวิทยุขณะเปิดไล่ฟังไปตามสถานีต่างๆ เสียงคุณธีร์ ไชยเดชสลับกับเสียงร้องแรพของฟักกลิ้ง ฮีไร่ทำให้หูผมสะดุดเข้าอย่างจัง

นั่งฟังไปก็คิดไปว่า ตั้งแต่เหตุการณ์ความรุนแรงทางภาคใต้ของไทยได้ปะทุขึ้นอีกครั้งหนึ่ง (ต้องกล่าวว่าอีกครั้งหนึ่งเนื่องจากมันได้เคยเกิดขึ้นแล้วในประวัติศาสตร์หากแต่ต่างบริบทออกไปเท่านั้น) เมื่อห้าปีที่แล้ว ทั้งรุนแรงมากรุนแรงน้อยแตกต่างกันไป เมื่อมีเหตุการณ์อุกฉกรรจ์ขึ้นครั้งหนึ่ง ก็จะสามารถดึงดูดความสนใจของสื่อและสาธารณะได้พักหนึ่ง จากนั้นก็จะซาไปเป็นพักๆ - เป็นเช่นนี้อยู่เรื่อยมา

ไปๆมาๆ ในช่วงเวลาครึ่งศตวรรษที่ผ่านมานั้น เรา (อย่างน้อยก็ตัวผมเอง) รับรู้เรื่องราวเกี่ยวกับความรุนแรงทางภาคใต้ของไทยผ่านสื่อสารมวลชนบางแขนง รายละเอียดของเหตุการณ์ต่างๆตามรายงานข่าวจากสถานีโทรทัศน์ช่องต่างๆ อย่างทำให้รู้สึกได้ว่า "คุ้นชิน"

กระทั่งทำให้ผมไม่ค่อยแน่ใจว่า ภาพความรุนแรงของสามจังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น มีความเกียวข้องกับภาพความเป็นจริง หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงๆมากน้อยแค่ไหน?

คือผมไม่แน่ใจว่า สิ่งที่ถูกเรียกว่า "ภัยที่คุกคามต่อความมั่นคงของชาติ" "โจรใต้" "ผู้ก่อการร้าย" ฯลฯ ที่เรานึกถึง วาดภาพถึง (ตามข้อมูลที่้เรามีอยู่ในหัว) มันเป็นเช่นนั้นหรือไม่ในความเป็นจริง?

หรือมันใกล้กับความเป็นจริงสักน้อยไหม?

แต่จะว่าไปแล้ว มันก็อาจจะเป็นเรื่องแทบเป็นไปไม่ได้เลย หากคนเมืองอย่างผมต้องการรู้ถึงความเป็นจริงที่กำลังดำเนินอยู่ที่ภาคใต้

และควรจะต้องพูดต่อไปอีกว่า แม้เราจะถึงขนาดเดินทางลงไปในพื้นที่ก็ตามที แม้เราจะได้รับรู้ความจริงมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะจากคนที่เราเฉพาะเจาะจงจะคุยด้วย จากพื้นที่ๆเราไปอยู่ กระทั่งถึงมุมมองและประสบการณ์ของเราเองต่อสิ่งที่เราพบ หรือปัจจัยอะไรอื่นๆอีกหลายประการ แต่นั่นคงไม่ได้ทำให้เรารู้ถึงความจริงทั้งหมด

ที่กล่าวมาเช่นนี้มิได้มีจุดประสงค์ในการพายเรือในอ่างแต่อย่างใด - แต่เพื่อจะบอกว่า แท้จริงแล้วสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเรา (ไม่ว่าคุณจะเรียก "เพื่อนร่วมชาติ" หรืออะไรก็ตามแต่) อาจจะไม่ได้อยู่ที่ว่าเรารู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆหรือไม่

รัฐบาลและสื่อสารมวลชนหยิบยกเอาประเด็นเรื่องภาคใต้มาใช้อย่างไร คงไม่ต้องพูดถึงกันให้เสียเวลาและมากความ แน่นอนว่ามันได้ส่งผลกระทบทำให้เรารู้สึกบางเป็นครั้งคราว แต่จะมีใครปฏิเสธบ้างหรือไม่ว่า เวลาส่วนใหญ่ของเหล่าเพื่อนร่วมชาติอย่างเรา ไม่ได้คิดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย

เพราะมันไม่เกี่ยวกับกู เพราะมันเป็นเรื่องความล้มเหลวของรัฐในการจัดการปัญหาเหล่านี้ เพราะมันเป็นเพียงข่าวที่สื่อสารมวลชนหยิบเอามาใช้ขายได้เป็นครั้งคราว หรือแม้กระทั่งมันเป็นประเด็นที่นายทุนไม่ได้มองว่ามัน "ขาย" หรือถ้ากระนั้นก็ตาม หากการหยิบเอามาใช้เป็นเรื่องการสร้างกระแส สร้างกำไรได้ ก็จะได้รับไฟเขียวอย่างแทบจะัทันทีทันควัน

สิ่งที่สำคัญกลับอยู่ที่ว่า ขณะที่สภาวะอันไม่เอื้ออำนวยเหล่านี้ดำรงอยู่ในสังคม เราได้แสดงความพยายามในการแหวก หรือตะโกนร้องกู่ก้องออกมาว่าเราอยากให้ปัญหานี้หยุดลงหรือไม่

แน่ละ, เส้นแบ่งของเจตนาดีและความโลภมันคงยากจะขีดให้ชัดเจน เพราะสองคนคงยลตามช่อง ดังนั้นทางออกคงจะมีไม่กี่ทาง หนึ่งในนั้นคงเป็นการพร่ำบอกแก่ตนเองว่า "ช่างแม่มันเถอะ กูเชื่อของกูเช่นนี้"

แล้วคนรุ่นใหม่ล่ะ?

จาก "ที่เกิดเหตุ" ของคุณวรพจน์, ผมยังไม่เห็นแรงกระเพื่อมที่เกิดขึ้นจากคนรุ่นหลัง ในการจะตะโกนกู่ก้องดังกล่าวมากนัก (ผมเชื่อว่ามี ท่านทราบก็ช่วยบอก) แต่พูดก็พูดเถอะ ปัญหาภาคใต้มันกำลังจะส่งต่อไปเป็นเรื่องที่คนรุ่นใหม่รุ่นนี้ต้องรับผิดชอบ

ผมเชื่อว่าราตรีสวัสดิ์มีเจตนาที่ดี

แต่ผมกลัวว่ามันก็จะหายไปกับคลื่นลมอย่างที่เกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอน่ะสิ

...ในคืนที่ผมกินเหล้าอยู่นั่งเล่น
ในคืนที่ป้าข้างห้องยังตั้งวงป๊อกเด้ง
คืนที่เด็กมัธยมนั่งท่องตำราเอนท์จุฬา
คืนที่ใครหลายคนลืมชื่อคนเดือนตุลา
คืนที่คุณนอนหลับอยู่บนเตียง
ทั้งหมดคือคืนเดียวกันกับเสียงปืนที่ดังเปรี้ยง...



ราตรีสวัสดิ์

Wednesday, June 24, 2009

สุขสันต์วันชาติ


วันนี้เป็นวันสำคัญของประเทศไทยวันหนึ่งที่ถูกกดทับ ปิดบัง ทำให้ลืม โดยกลุ่มที่ถืออำนาจเอาไว้ ท่าลองคิดดูเถิดว่า มันได้สะท้อนให้เห็นความอัปลักษณ์ของเหล่าชนชั้นนำของประเทศนี้อย่างไร

ผมเอาคอลัมน์ สยามประเทศไทย ของอาจารย์สุจิตต์จากหนังสือพิมพ์มติชนรายวันในวันนี้มาเต็มๆ (โดยไม่ได้ขออนุญาต) เพราะตรงกับสิงที่ผมอยากจะเขียนเสียจริงครับ ผมขออภัยจริงๆ ไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อผลประโยชน์แต่อย่างใด

ขอเชิญอ่าน และจงเกิดความสำนึกบ้างเถิด

24 มิถุนายน 2475 ประวัติศาสตร์ถูกทำให้ลืม
สุจิตต์ วงษ์เทศ

24 มิถุนายน 2475 เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นประชาธิปไตย ถือเป็นวันสำคัญทางประวัติศาสตร์การเมืองไทยแห่งชาติ

แต่ประวัติศาสตร์แห่งชาติของไทยมีลักษณะสำคัญอย่างน้อย 2 ประการ คือ

1. สั่งให้จำ 2. ทำให้ลืม

ประวัติศาสตร์ถูกสั่งให้จำ ล้วนเป็นเรื่องแต่งใหม่อย่าง"นิยาย" ไม่มีหลักฐานประวัติศาสตร์โบราณคดี แต่สถาบันการศึกษาที่เกี่ยวข้องการเรียนการสอนประวัติศาสตร์โบราณคดี ไม่เคยแบ่งปันเผยแพร่ความรู้ที่ถูกต้องให้สาธารณชนรู้ จึงเท่ากับสมคบกับชนชั้นมีอำนาจ ปกปิดความจริงทางประวัติศาสตร์ แล้วแต่งเรื่องเท็จให้เป็นประวัติศาสตร์เท็จๆ
เช่น คนไทยมีแหล่งกำเนิดอยู่เทือกเขาอัลไต, คนไทยเป็นเจ้าของอาณาจักรน่านเจ้า, คนไทยถูกจีนรุกรานหนีลงทางใต้, คนไทยตกเป็นขี้ข้ามอญและขอมที่เป็นเจ้าของดินแดนอยู่ก่อน, คนไทยปลดแอกจากมอญและขอม, คนไทยสถาปนากรุงสุโขทัยเป็นราชธานีแห่งแรก, กรุงศรีอยุธยาสร้างขึ้นเมื่อกรุงสุโขทัยล่มสลายแล้ว, ฯลฯ

ประวัติศาสตร์ถูกทำให้ลืม คือ 24 มิถุนายน 2475 คณะราษฎร(อ่านว่า คะ-นะ-ราด-สะ-ดอน) เปลี่ยนแปลงการปกครองฯ แล้วรัฐบาล จอมพล ป. พิบูลสงคราม ถือเป็น"วันชาติ"

ต่อมาชนชั้นนำมีอำนาจออกประกาศบังคับให้ยกเลิกวันชาติ 24 มิถุนายน เพื่อให้ลืมประวัติศาสตร์คณะราษฎรเปลี่ยนแปลงการปกครอง

24 มิถุนายน 2475 เป็นประวัติศาสตร์ถูกทำให้ลืม แต่เราไม่ลืม เพื่อให้มีความเสมอภาคและเท่าเทียมในอนาคต ใครจะทำไม?

ฉะนั้น ต้องร่วมกันบอกต่อๆไปให้จดจำ และเจ็บจำ"ไปถึงปรโลก"

ประเทศไทยไม่มีมิวเซียมการเมือง ผมเคยเขียนบอกหลายครั้งในหลายปีให้ทำบริเวณมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์กับอนุสรณ์สถาน 14 ตุลา จัดแสดงเป็นมิวเซียมการเมืองสยาม แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนแรกเป็นการเมืองการปกครองโบราณ ก่อน 24 มิถุนายน 2475 ส่วนหลัง เป็นการเมืองหลัง 24 มิถุนายน 2475

"มิวเซียมการเมืองสยาม" ไม่ต้องใช้เงินลงทุนมากๆ เพราะจัดแสดงอย่างโล่งๆแจ้งๆเป็น museum without wall คือใช้สถานที่จริงที่เกิดเหตุการณ์จริงเป็นที่จัดแสดง โดยทำคำอธิบายย่อๆสั้นๆ เป็นไทย/อังกฤษ สแกนบนแผ่นโลหะบางๆ หรือวัสดุง่ายๆราคาถูกติดกับอาคารสถานที่สำคัญๆนั้นๆเท่านั้น เช่น

ลานพระรูป, หมุด 24 มิถุนายน 2475, อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย, อนุสรณ์สถาน, โรงแรมรอยัล, กรมประชาสัมพันธ์(เก่า), สนามหลวง, ธรรมศาสตร์, ฯลฯ

สุนทรภู่ เป็นชาวบางกอก อยู่ในตระกูลพราหมณ์ผู้ดีมีสกุล เกิดในวังหลัง ปากคลองบางกอกน้อย ดูรายละเอียดใน www.sujitwongthes.com


ท่านผู้มีใจเป็นธรรมลองคิดดูเอาเองเถิดว่า มันเป็นการยุติธรรมแล้วหรือ ว่าแม้แต่ประวัติศาสตร์ของไทยเอง ประชาชนไทยยังถูกปิดตาเลย ประสาอะไรกับเรื่องอื่น?

สุขสันต์วันชาติครับ

Sunday, June 14, 2009

สินค้าสด - มนัส จรรยงค์

เนื่องด้วยที่ผ่านมาอ่านงานของนักประพันธ์ชั้นครู มนัส จรรยงค์ ติดต่อกันหลายเล่ม ก็เลยมีความคิดความเห็นออกมาบ้างเป็นเรื่องธรรมดา 

สินค้าสด เป็นหนึ่งในเรื่องสั้นที่รวมอยู่ใน ซาเก๊าะและรวมเรื่องสั้นอันเปนที่รัก ของมนัส จรรยงค์ (สำนักพิมพ์ประพันธ์สาส์น, พ.ศ.2511) 

อันที่จริงมีหลายเรื่องที่อยากเขียนถึง แต่เอาเพียงเรื่องเดียวสั้นๆก่อนก็แล้วกัน 

สินค้าสด เป็นเรื่องราวของชายบ้านนอกผู้หนึ่งนามวิฑูร ซึ่งสามารถหาภรรยาที่เป็นคนกรุงเทพฯได้ เขาจึงพาเจ้าไปอยู่ด้วยที่บ้านนอก และเรื่องราวก็วุ่นวายหลังจากนั้น (ไม่อยากทำลายบรรยากาศ เอาเป็นว่าไปหาอ่านเองก็แล้วกันนะครับ)

สินค้าสด น่าจะพิมพ์ครั้งแรกในรวมเรื่องสั้นชุดนี้ เพราะไม่มีการบอกว่าพิมพ์มาแล้วในที่อื่นอย่างเรื่องสั้นหลายต่อหลายเรื่องในเล่ม ซึ่งบอกปีที่พิมพ์เอาไว้ด้วย เพราะฉะนั้นถ้าจะให้ลองกะดู เรื่องสั้นนี้ก็น่าจะถูกเขียนขึ้นในช่วงต้นพุทธศตวรรษที่ 26 นั่นเอง  

แม้ว่า สินค้าสด จะไม่เคยถูกพูดถึงที่ไหนมาก่อน ผมกลับคิดว่ามันน่าจะเป็นเรื่องหนึ่งที่สะท้อนรูปแบบการประพันธ์ของมนัส จรรยงค์โดยกว้างๆได้ 

ผมคิดว่า สินค้าสด พอจะทำให้ผมยกได้สามประเด็นกว้างๆ (ผมขอแนะนำให้อ่าน สินค้าสด ก่อนจะอ่านต่อไป เนื่องจากจะมีการยกเนื้อเรื่องหลายตอนขึ้นมาประกอบ หากหาอ่านไม่ได้ขอเชิญชั้น 4 หอกลาง จุฬาฯ บุคคลภายนอกเสีย 20 บาท) 

1) ในบริบทของประวัติศาสตร์วรรณกรรมไทย เรื่องศีลธรรมในงานของมนัส จรรยงค์เคยถูกพูดถึงแล้วในบลอกวรรณกรรมรักชวนหัว ซึ่งแยกงานมนัส จรรยงค์ ผู้เป็นนักเขียนรุ่นก่อน 14 ตุลาฯ ออกจาก วรรณกรรมของกลุ่มนักเขียนหลัง 14 ตุลาฯ 

งานเขียนของกลุ่มนักเขียนหลัง 14 ตุลาฯ จะมีการอ้างอิงศีลธรรมอย่างโจ่งแจ้ง และนำไปสู่การถกเถียงที่ว่า ไอ้สำนักหลัง 14 ตุลาฯ แบบนี้หรือเปล่า ที่มันไปอุดให้งานเขียนจากนั้นเป็นต้นมาคล้ายกับพายเรืออยู่ในอ่าง? (อะไรๆก็ศีลธรรม) 

และทำให้ (ด้วยภาษาของบลอกวรรณกรรมรักชวนหัว) "ทำไมศตวรรษหนึ่งผ่านไป นักเขียน(ผู้มีรสนิยม) ได้แต่อ่านเรื่องสั้นอาจารย์มนัส แล้วกระพริบตาปริบๆ ถามตัวเอง "ทำไมกูเขียนไม่ได้แบบนี้วะ!" 

ไปจนกระทั่ง "และประกาศให้โลกรู้เลยว่า เท่าที่เห็นและเป็นอยู่ วรรณกรรมไทยได้ตาย (หรืออย่างน้อยก็ถดถอยลงอย่างช้าๆ ) ไปพร้อมกับอาจารย์มนัสแล้ว" 

เพื่อความเป็นธรรม ผมคงต้องยกสิ่งที่อาจารย์ชูศักดิ์ ภัทรกุลวณิชย์ได้กล่าวถึงในโอกาสแกไปพูดที่ศูนย์มานุษฯ สิรินธร (ที่จริงเป็นงานวิจารณ์วรรณกรรมของวินทร์ เลียววาริณ) เมื่อ 6 มิ.ย. 52 

อาจารย์พูดถึงงานของวินทร์ด้วยวิธีการจัดกลุ่มงานเขียน โดยพูดในบริบทประวัติศาสตร์ว่า วรรณกรรมยุคหลัง 14 ตุลาฯ เป็นวรรณกรรมที่เกิดขึ้นเพื่อต่อสู้กับวรรณกรรมแนว "น้ำ่เน่า" ในยุคก่อน 14 ตุลาฯ ซึ่งทำให้วรรณกรรมหลัง 14 ตุลาฯ ได้ชื่อว่าเป็นวรรณกรรม "แนวทดลอง" ในเวลานั้นเสียเอง 

อาจารย์เสริมว่าวรรณกรรมแนวนี้จึงถูกเรียกว่าเป็นแนว "เพื่อชีวิต" หรือพอจะเลียบๆเคีัยงๆกับสัจนิยม (Realism) ในการจัดประเภทวรรณกรรมตะวันตกได้ 

แต่เมื่อยุคหลัง 6 ตุลาฯ เป็นต้นมาจนมาถึงยุคปลายสงครามเย็น วรรณกรรมเพื่อชีวิตได้อ่อนแรงลง แต่ ยังไม่มีวรรณกรรมใดที่เข้ามาทำหน้าที่ตอบโจทย์ใหม่ของสังคมหรืออธิบายปรากฏการณ์ทางสังคมอย่างที่นักวิจารณ์วรรณกรรมพอจะเห็นได้เลย จึงมีคำถามอยู่เสมอๆว่า "วรรณกรรมเพื่อชีวิตตายหรือยัง?" 

จนกระทั่งเมื่องานของวินทร์ เลียววาริณ ปรากฏขึ้นในบรรณพิภพ อาจารย์ใช้คำศัพท์ว่ามันได้ "แหวก" วงล้อมวรรณกรรมเพื่อชีวิตที่ครองพื้นที่อยู่มานานเกินไป และเป็นหัวหมู่ทะลวงฟันที่แผ้วถางให้งาน "แนวทดลอง" นี้ตามกันมาได้ ไม่ว่าจะเป็นนักเขียนอย่างปราบดา หยุ่น อนุสรณ์ ติปยานนท์ กิตติพล สรัคคานนท์ ภาณุ ตรัยเวช ฯลฯ 

โดยงานแบบใหม่นี้ก็คือ "แนวทดลอง" ที่จะมาเบียดแนว "เพื่อชีวิต" (แต่ เราหลงลืมอะไรบางอย่าง อาจเป็นสิ่งที่ต้องอธิบายต่อไป) 

เพราะฉะนั้น หากพิจารณากันในแนวนี้ เราอาจจะกล่าวได้ว่ามันมีวรรณกรรม "แนวทดลอง" มาแทนที่วรรณกรรมยุคหลัง 14 ตุลาฯ แล้วก็ได้ ถ้าไม่มองโลกในแง่ร้ายจนเกินไป เราอาจจะพอมีความหวังอะไรได้บ้าง? 

กลับมาที่งานของมนัส จรรยงค์ต่อ - หากจะว่าไปแล้ว งานเรื่องสั้นของราชาผู้นี้มีความ "น้ำเน่า" ไม่เบาเลย ไม่ว่าจะเป็นรัก พราก จาก ฉุดคร่า หนีตามกัน เสือ นักเลง คนจนกรอบ คนบ้านนอก คนกรุง ฯลฯ ซึ่งเป็นประเด็นที่จะถูกหยิบใช้สม่ำเสมอ 

แต่ที่สำคัญ งานของมนัส จรรยงค์มีความก้าวหน้ามากกว่างานร่วมสมัยเดียวกันไม่ว่าจะโดยการหักมุมของเรื่อง การหาพลอตที่สามารถสร้างความประหลาดใจแก่คนอ่าน การนำเสนอเรื่องด้วยมุมหลากหลาย (ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินเรื่องปกติ หรือการดำเนินเรื่องด้วยมี "โฆษก" มาเล่าให้ฟัง เป็นต้น) นี่ยังไ ม่นับรวมฝีมือการบรรยายบรรยากาศและความงามของสตรีเพศชนิดหาตัวจับยากทีเดียว 

ใน สินค้าสด เรื่องศีลธรรมถูกท้าทายอย่างโจ่งแจ้ง วิฑูรผู้สวมบทสามี ควรจะต้องเป็นสามีที่่ดี เป็นหลักและที่พึ่งแก่ภรรยาได้ตามแบบอย่างความมีอารยะอย่างที่ได้กำหนดเอาไว้ในประเทศไทยหลายสิบปีก่อนหน้า ตั้งแต่ยุคจอมพลป. พิบูลสงคราม

แต่เขากลับพาภรรยามาเพื่อขายแลกกับเงิน โดยผู้ที่ขายก็ไม่ใช่ใคร คือเถ้าแก่ฮง ชาวจีนซึ่งคนไทยตั้งข้อรังเกียจเดียจฉันท์มาตั้งแต่ช่วง 1930's 

งานนี้เงินสามพันบาทถูกอาจารย์มนัสเอาไปตั้งคำถามกับระบบศีลธรรมของสังคมไทยทั้งสังคมทีเดียว 

2) ผมไม่ได้ีมีความรู้ทางทฤษฎีเรื่องนี้มากนัก แต่ผมคิดว่า สินค้าสด ก้าวหน้าในแง่ของการเป็นสาส์นสำหรับการเรียกร้องสิทธิสตรีในเมืองไทย เป็นเรื่องสั้นแนวสตรีนิยมโดยแท้ 

ลองคิดง่ายๆดีกว่า ท่านผู้อ่านลองนึกถึงเรื่องสั้นที่ผู้หญิงเผยเอาความรู้สึกของตนเองออกมา ว่ารักเพื่อนผัว แล้วยอมจะหนีไปกับเขา ในขณะที่ผู้นำสังคมไทยในต้นพุทธศตวรรษที่ 26 เป็นคนที่มีอนุภรรยาเป็นร้อยคนดูก็แล้วกัน ว่า สินค้าสด ก้าวหน้าขนาดไหน 

ผมนึกถึงภาพยนตร์เรื่อง Jules et Jim (1962) ของผู้กำกับสังกัดกลุ่มคลื่นใหม่ในฝรั่งเศสฟรังซัว ทรูฟโฟ ที่เป็นภาพยนตร์เฟมินิสต์แรกๆในกลุ่มศิลปินรุ่นราวคราวเดียวกัน ที่สำคัญคือร่วมสมัยกับอาจารย์มนัสเสียด้วย
...บังอรมันฝันว่า เจ้าได้ถูกเจ้ายงมันชมเชยเสียสมใจมัน ในฝันนั้นเจ้ารู้สึกว่า มันช่างเป็นความสุขเสียจริงๆ แต่บังอรก็ยังคิดว่า มันอาจจะไม่ใช่ความฝันก็ได้ ในเมื่อบางสิ่งบางอย่างในร่างกายเจ้ามันบอกเจ้าว่า มันเป็นเรื่องที่ได้เกิดขึ้นจริงๆ...(หน้า 269)
...แม้ว่าจะเป็นเป็นเวลาสั้นๆที่ได้พบกัน แต่ก็เหมือนเทวดาดลใจ บังอรก็สุดจะหักใจไม่ให้คิดถึงมันได้ และไหนๆก็ไ้ด้พูดกันอย่างนี้แล้ว บังอรก็คิดว่า พูดให้มันรู้ถึงหัวใจของเจ้าเสียด้วยเถิด...(หน้า 274)
อย่างไรก็ตาม หากมองด้วยพลอตของทั้งเรื่อง ไม่ว่าจะอย่างไร ถึงบังอรจะเกิดความรักอย่างไรก็ตาม ทั้งหมดก็เป็นการวางแผนของทั้งผัวตนเอง ทั้งเพื่อนผัวที่ตนเพิ่งหลงรักเพื่อหลอกนำตนไปขายเป็นสินค้าสดทั้งสิ้น จึงมองได้สองมุมว่า ในมุมหนึ่ง ไม่ว่าบังอรเกิดจะต้องการทำตามใจตนเองอย่างไร แต่สุดท้ายก็ยังเป็นรอง/เป็นเครื่องมือให้แก่เพศชายอยู่ดี ในอีกมุมหนึ่งสามารถมองได้ว่าบังอรเป็นตัวแทนแห่งความแหกคอกที่เพศชาย(สังคมไทย)ล้อมกรอบเพศหญิงเอาไว้นั่นเอง 

3) ดังที่ผมได้กล่าวไปแล้วว่า เรื่องสั้นชิ้นนี้น่าจะเขียนขึ้นเมื่อสังคมไทยได้ก้าวเข้าสู่พุทธศตวรรษที่ 26 เป็นที่เรียบร้อย 

กล่าวในแง่บริบทประวัติศาสตร์ ช่วงเวลาดังกล่าวเกิดอะไรขึ้นบ้าง? 

มันเป็นช่วงเวลาอันชัดเจนของการเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจการเมืองและสังคมไทย โดยเฉพาะสงครามเย็นที่ได้ขยายขอบเขตการต่อสู้เข้าสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตั้งแต่่ปลายพุทธศตวรรษที่ 25 เป็นต้นมา  (จริงๆก่อนหน้านั้นด้วยซ้ำ)

จอมพลสฤษดิ์ ธนรัชต์ขึ้นปกครองประเทศพร้อมๆกับการที่ประเทศไทยก้าวเข้าสู่วงศ์วานของทุนนิยมโลกที่นำโดยสหรัฐอเมริกา เงินช่วยเหลือจำนวนมหาศาลหลั่งไหลมาจากวอชิงตันสู่กรุงเทพฯ เป็นยุคที่ประเทศไทยร่างแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติฉบับแรกในพ.ศ.2504 มีการสร้างสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ สร้างมหาวิทยาลัย การสร้างถนนหนทาง ฯลฯ เป็นยุคแห่ง "น้ำไหล ไฟสว่าง ทางดี" โดยแท้ (กรุณาอ่าน การเมืองระบบพ่อขุนอุปถัมภ์แบบเผด็จการ ของอ.ทักษ์ เฉลิมเตียรณ) 

ผลก็คือ "การพัฒนา" ดังกล่าวได้ทำให้กรุงเทพฯกลายเป็นเมืองโตเดี่ยว และความแตกต่างเหลื่อมล้ำของชนบท/กรุง มีมากขึ้นทุกทีๆ 

ผมไม่แน่ใจว่าการใช้แว่น "นักท้องถิ่นแดนไกลนิยม" (exoticism) อย่างที่ใช้ในบลอกรักชวนหัว จะสามารถเอามาใช้มองงานมนัส จรรยงค์ได้มากแค่ไหน เนื่องจากหากไม่พิจารณาบริบทดังที่ผมได้กล่าวมาแล้ว เราก็จะไม่ทราบสาเหตุของความเหลื่อมล้ำที่เกิดขึ้นระหว่างเมืองและชนบทในประเทศไทย อย่างที่มนัส จรรยงค์หยิบมาใช้บ่อยๆได้เลย

ใน สินค้าสด การที่วิฑูร ผู้ซึ่งมีนามเก่าว่า "ไอ้ทุย" กลับมาบ้านก็เพื่อเสดงให้เห็นว่าตนเองประสบความสำเร็จ สามารถได้เมียคนกรุงเทพฯ มองในแง่นี้ มันเป็นความพยายามปลดแอกชนบทจากการครอบงำของกรุงเทพฯนั่นเอง 

มนัส จรรยงค์พยายามแสดงให้เห็นถึงการปะทะกันของค่านิยมอันแตกต่างระหว่างชนบท/เมือง 
...ปากมันแดงแจ๋ยิ่งกว่าอีพวกสาวๆชาวบ้านที่เคี้ยวหมากกันเสียจนปากเปรอะ คิ้วของมันก็ดำปิ๊ดราวกับเอาอะไรมาติดไว้ไม่ใช่ขนคิ้วแท้...นางแม่สวยคนนั้น ก็วางท่าเสียราวกับว่ามันนั่งคู่มากับคนสำคัญคนหนึ่งทีเดียว ดูตา ท่าทาง มันหยิ่งยะโสโอ้อวดตัวจนน่าหมั่นไส้เมื่อเวลาที่มีคนมองมัน...(หน้า 260) 
ความแตกต่างลักลั่นดังกล่าวนี้ แสดงให้เห็นถึงความ "เหนือกว่า" ของกรุงเทพฯ โดยอาจารย์มนัส (ซึ่งผมว่าแกซาดิสต์นิดหน่อยในเรื่องนี้) จับเอา signifier ของกรุงเทพฯไปขายเป็นสินค้าสดเสียเลย หมดเรื่อง



ป.ล. จะดีมากหากมีใครอ่านแล้วช่วยกันอภิปราย เพราะหากไม่ต้องการให้วรรณกรรมไทยถูกอุดจุก เราต้องอ่านแล้วแสดงความคิดเห็นครับ

Tuesday, June 2, 2009

การต่อสู้ของนักเขียนอียิปต์

ผมแปลบทความเกี่ยวกับอัลลา อัล อัสวานี นักเขียนอียิปต์ มาจากหนังสือพิมพ์ The Observer วันที่ 31 พ.ค. 2009 เป็นข่าวคราวความเคลื่อนไหวในวงวรรณกรรมโลก ขอเชิญอ่านครับ

บุรุษผู้เป็นทันตแพทย์ในยามกลางวันและเป็นนักเขียนในยามกลางคืน เขาใช้เวลาหลายปีต่อสู้กับการถูกเซนเซอร์เพื่อจะได้ตีพิมพ์ผลงานของตนเอง ในวันนี้เขาได้กลายเป็นนักเขียนหนังสือขายดีระดับโลก และยังเป็นผู้วิพากษ์วิจารณ์ระบอบที่กดขี่ของประเทศบ้านเกิดตนเองอย่างไม่ไว้หน้าอีกด้วย ราเชล คุกสัมภาษณ์นักเขียนที่ได้รับการยอมรับท่านนี้เกี่ยวกับความรัก การทรมาน และเหตุที่เขายังยึดอาชีพทันตแพทย์อยู่

-------------------------------

อัลลา อัล อัสวานี (Alaa al Aswany) นักเขียนหนังสือขายดีที่สุดในโลกอาหรับเวลานี้ กำลังกลืนกาแฟรอบเช้าอึกสุดท้าย และเงยหัวขึ้นทำกิริยาที่ดูคล้ายกับว่าเขากำลังพึงใจทีเดียว เขากำลังรอจะสูบบุหรี่ด้วย เสียดายที่วันนี้เขาไม่ได้อยู่ที่บ้านในไคโร ที่ซึ่งเขาจะสามารถสูบบุหรี่เมื่อใดก็ได้ที่ต้องการ (คนอียิปต์สูบบุหรี่รวมกัน 19 ล้านมวนต่อวัน) แต่เขาอยู่ในโรงแรมกอร์ ณ เขตเคนซิงตัน นั่นหมายความว่า คงอีกสักพักหนึ่งนั่นละ กว่าเขาจะได้ออกไปสูบบุหรี่ที่ทางเดินด้านนอกโรงแรม

            แต่เขาก็ไม่ได้บ่นแต่อย่างใด-เขามองว่าลอนดอนไม่ได้เลวร้ายไปเสียทีเดียว ผมมักจะมีความรู้สึกถึงเมืองต่างๆ... เขาพูดด้วยภาษาอังกฤษที่ดีเยี่ยมและฟังดูเคร่งขึม เป็นความรู้สึกแบบที่ผู้ชายมีต่อผู้หญิง คือบางคนผมก็รู้สึกรัก แต่บางคนก็ไม่ ลอนดอนเป็นหนึ่งในที่ๆอัสวานีรัก แต่เขาก็บอกว่ามันยังไม่สามารถทำให้เขารู้สึกได้เหมือนที่ไคโร หรือแม้แต่อเล็กซานเดรีย นี่! ผมไม่สามารถแสดงความเป็นวัตถุวิสัยเกี่ยวกับอียิปต์ได้หรอก มันเป็นเพียงความรู้สึกของผมต่ออียิปต์เท่านั้น เมื่อผมอยู่ต่างบ้านต่างเมือง ผมกลายเป็นคนๆหนึ่งที่มีหลายอย่างเหมือนตัวผมที่แท้จริง แต่ก็ไม่ใช่ตัวผมที่แท้จริงเสียทีเดียว ผมมักเป็นโรคคิดถึงบ้านเสมอ!”

            ในขณะที่เรียนทันตแพทย์ศาสตร์ในชิคาโกสมัยเมื่อสามทศวรรษที่แล้ว เขาเป็นคนที่ชื่นชมความมีประสิทธิภาพของสหรัฐอเมริกาเป็นอย่างมาก แต่ในระยะยาวแล้ว ทุกอย่างมันกลับเป็นระบบและจริงจังมากเกินไป ในอียิปต์กลับเป็นตรงกันข้าม แต่นั่นก็เป็นเสน่ห์ในตัวเอง สำหรับผมแล้ว อียิปต์เป็นที่ๆยอดเยี่ยมที่สุดในโลก

            อัสวานีมาโปรโมทหนังสือสองเล่ม อยู่ในลอนดอน เล่มหนึ่ง The Friendly Fire เป็นงานรวมเรื่องสั้น อีกเล่มหนึ่งเป็นนิยายที่ได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางชื่อ The Islam Abd el-Ati Papers โดยหนังสือเล่มนี้ต้องห้ามในอีกยิปต์มามากกว่าทศวรรษแล้ว แต่บัดนี้มันได้รับอิสรภาพนอกบ้านเป็นที่เรียบร้อย

            อัสวานีทนการปฏิเสธหนังสือของเขาจากองค์กรหนังสืออียิปต์ (General Egyptian Book Organization – GEBO) อยู่หลายปี The Islam Abd el-Ati Papers เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับชายหนุ่มมีการศึกษาผู้ซึ่งได้รับการยอมรับจากตะวันตก แต่กลับถูกกำจัดโดยทรราชและการคอร์รัปชั่นของรัฐอียิปต์-หนังสือเล่มนี้เป็นหนึ่งในเรื่องที่ถูกปฏิเสธการอนุญาตให้พิมพ์ พวกนั้นบอกเขาด้วยเหตุผลที่ไม่ชัดเจนนักว่า นิยายเรื่องนี้ดูหมิ่นประเทศอียิปต์ และจะไม่ได้รับการอนุญาตให้ตีพิมพ์ยกเว้นหากเขาตัดสองบทแรกออกไป- ณ เวลานั้นเขารวบต้นฉบับแล้วเดินออกมาทันที และไม่กลับไปอีกเลย

            ในปีค.ศ.2002 นิยายของเขา The Yacoubian Building ซึ่งเกี่ยวกับชีวิตอันเลวร้ายข้นแค้นของผู้อยู่อาศัยในอพาร์ตเมนต์ศิลปะพ้นสมัยเล็กๆกลางเมืองไคโรนั้น ได้รับการตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ทุนต่ำขนาดเล็กแห่งหนึ่งในไคโร หนังสือเล่มนี้ขายหมดเกลี้ยงภายในสี่สัปดาห์ และกลายไปเป็นหนังสือขายดีที่สุดในโลกอาหรับติดต่อกันถึงห้าปี ทำยอดขายได้ 250,000 เล่มในภูมิภาคที่งานวรรณกรรมจะตีพิมพ์แต่ละครั้งอย่างมากก็ 3,000 เล่มเท่านั้น คนที่ได้อ่านแล้วก็บอกต่อ มันโด่งดังกระทั่งมาร์วิน ฮาเหม็ดเอาไปทำภาพยนตร์ นอกจากนี้ยังมีการนำไปผลิตเป็นละครชุดทางโทรทัศน์ และจนถึงขณะนี้ก็ได้รับการแปลไปกว่า 27 ภาษาแล้ว ในประเทศอังกฤษเองก็มียอดขายถึง 75,000 เล่ม นิยายเล่มต่อมาของเขาชื่อ Chicago ยิ่งโด่งดังไปกว่าเสียอีก จนกระทั่งเขาเขียนบทนำของรวมเรื่องสั้นชุด The Friendly Fire ว่า “[จู่ๆ] สำนักพิมพ์ก็เริ่มกดดันให้ผมส่งอะไรก็ได้ที่ผมเขียนไปให้พวกเขา

            สำหรับผู้ที่ชื่นชอบ The Yacoubian Building และ Chicago จากการที่มีตัวละครมากมายและบทที่ครอบคลุมประเด็นหลากหลายแล้วล่ะก็ ต้องขอเตือนว่าอย่าได้หวังว่า The Friendly Fire จะให้อะไรแบบเดิมๆอีก-รวมเรื่องสั้นชุดนี้แตกต่างออกไป ทุกเรื่องดูจะหมกมุ่นอยู่กับโทสะและความโมโหโกรธาที่อัสวานีได้สร้างขึ้นมาเป็นของเขาเอง มันเหมือนกับการเปลี่ยนจากเดวิด ลอดจ์มาเป็นเชคอ-ฟอย่างไรอย่างนั้น

            อัสวานียิ้มกว้างเมื่อมีการพูดถึงเรื่องเชคอฟ เรื่องสั้นเป็นชั่วขณะแห่งการรู้แจ้ง เขาบอก ชั่วขณะแห่งการมองเห็น เรื่องมันจะตกลงมาใส่หัวผมเหมือนแอปเปิล แต่นิยาย...ผมเห็นด้วยกับสำนักความคิดหนึ่งที่ว่า เราไม่ได้คิดค้นแต่เราค้นพบนิยาย นิยายมีอยู่แล้วในจิตใจของผมและผมต้องตั้งสมาธิเพื่อดึงมันออกมา แต่สำหรับเรื่องสั้นมันต่างออกไป ผมสามารถได้พลอตของเรื่องสั้นตอนนี้เลย ขณะที่ผมมองหน้าคุณอยู่นี้

            เพราะฉะนั้นเขากำลังทำงานขุดค้นที่ใช้เวลาและสมาธิยาวนานอย่างที่ว่าอยู่หรือเปล่า? แน่นอนครับ! ผมหยุดไม่ได้! ผมนึกถึงนิยายตลอดเวลา ผมรักผู้คน และวรรณกรรมเป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการนำเสนอมันออกมา ความทุกข์ของพวกเขาเป็นแรงบันดาลใจให้แก่ผม

            อัสวานีมองความสำเร็จของเขาทั้งอย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัวในด้านหนึ่ง และก็อดแสดงความภาคภูมิใจในอีกด้านหนึ่งไม่ได้ เขาเอารูปถ่ายหน้าของตนเองบนโปสเตอร์ในสถานีรถไฟใต้ดินของปารีสมาโชว์-สิ่งเหล่านี้เป็นดังของขวัญ ที่ว่าเขาสามารถทำเงินในฐานะนักเขียนได้ในประเทศที่กฎหมายลิขสิทธิ์ไม่ต่างอะไรกับกระดาษชำระ และสำนักพิมพ์มักจะไม่ค่อยจ่ายค่าต้นฉบับ (เขาประมาณว่ารายได้ที่เขาได้รับจากนักอ่านชาวอาหรับนั้นพอจะจ่ายค่ากาแฟและค่าบุหรี่ได้เท่านั้น) แต่ในขณะเดียวกันเขาก็ยังไม่คิดจะเลิกงานทันตแพทย์เช่นกัน

            สังคมเป็นเหมือนอวัยวะส่วนต่างๆมาประกอบกัน คุณต้องติดตามความเป็นไปอยู่เสมอ ดังนั้นผมถึงยังตรวจคนไข้อยู่แม้จะเพียงสองวันต่อสัปดาห์เท่านั้น ผมจะไม่เลิกกิจการคลินิคเป็นอันขาด ผมเปิดร้านเพื่อสังเกตการณ์ชีวิตคนเดินถนน คุณจะลอยตัวอยู่เหนือชีวิตคนธรรมดาไม่ได้ เพราะมันจะเป็นความผิดพลาดอย่างมหันต์ในฐานะนักเขียน เมื่อคุณประสบความสำเร็จ คุณจะถูกเชิญโดยคนที่รวยที่สุดหรือมีอิทธิพลที่สุดทุกค่ำคืน แต่นั่นอันตรายมากเพราะมันจะทำให้คุณลืมความสัมพันธ์กับชาวบ้านธรรมดา คุณต้องไม่ลืมความสัมพันธ์เหล่านี้ เพราะมันเป็นสิ่งที่ทำให้คุณประสบความสำเร็จในเบื้องแรก

            แล้วเขาเป็น เซเลบ ของอียิปต์หรือยัง? ผมขอบคุณสำหรับคำชม...แต่คำว่า โด่งดัง หมายความว่าคนจำคุณได้ แต่คุณจำพวกเขาไม่ได้ ผมว่าความโด่งดังไม่ใช่เรื่องใหญ่ คนที่โด่งดังที่วันๆไม่ได้ทำอะไรเลยก็มีมาก ความชื่นชมคือของขวัญ หากแต่มันหาใช่เกียรติยศไม่ ถ้าให้ผมเลือกระหว่างการมีคนอ่านหมื่นคนที่ชื่นชมในงานผมจริงๆ กับหนึ่งล้านคนที่จำหน้าผมได้ ผมจะเลือกกลุ่มแรก

            อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของเขาก็มีปัญหาตามมา อัสวานีเป็นที่รู้จักในฐานะผู้ต่อต้านประธานาธิบดีมูบารัค เขาเขียนคอลัมน์ในหนังสือพิมพ์วิพากษ์วิจารณ์ระบอบการปกครอง และเขายังเป็นสมาชิกของกลุ่ม Kifaya (พอได้แล้ว!) ดังนั้นมุมมองที่รัฐมีต่อเขาเป็นอย่างไร ในขณะที่เขาเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก? ผมไม่ได้หวังให้พวกเขารักผม ผมเป็นสมาชิกของกลุ่มที่ต้องการให้ระบอบการปกครองปัจจุบันสิ้นสุดลง แต่ผมรู้จักเจ้าหน้าที่รัฐหลายคนที่ชอบงานของผมเป็นการส่วนตัว แต่พอถึงเวลาพวกงานให้รางวัล บางคนก็มา แต่บางคนก็ไม่ บางครั้งพวกเขาก็โทรมาหาผม บอกว่าชอบงานของผมเป็นการส่วนตัวแต่ไม่สามารถไปร่วมงานมอบรางวัลอย่างเป็นทางการได้

            ชื่อเสียงทำให้เขาปลอดภัยขึ้นไหม? ผมไม่สามารถเปรียบเทียบสิ่งที่เกิดขึ้นกับผม กับสิ่งที่เกิดขึ้นกับสหายที่ถูกทรมานและทำร้ายโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐได้ ผมเพียงถูกห้ามไม่ให้เข้าร่วมงานเปิดตัวของหนังสือ The Yacoubian Building เท่านั้น แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม การเขียนและความกลัวเป็นสิ่งขัดแย้งกันโดยสิ้นเชิง การเขียนเป็นการแสดงออกเพื่อต่อต้านความกลัว

            เขายังเชื่อว่าประชาธิปไตยกำลังเกิดขึ้นในอียิปต์ และโลกอาหรับทั้งหมดก็จะใช้รูปแบบนี้ ผมจะบอกคุณให้นะ มันอยู่ไม่ไกลแล้ว ผมบอกวันที่แน่นอนไม่ได้ แต่พวกเราเตรียมพร้อมแล้ว ทนายและหมอของเรามีมากจนเกือบเท่าประชากรทั้งหมดของประเทศอาหรับบางประเทศเสียอีก ในโลกตะวันตกมีคนอียิปต์กว่า 180,000 คนที่จบปริญญาเอก

            แต่เขาจะแน่ใจได้อย่างไร? สำหรับสายตาคนต่างชาติแล้ว มูบารัคดูจะไม่ค่อยสนับสนุนประชาธิปไตยเท่าใด มีจำนวนนักโทษที่ต่อต้านรัฐเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ผมอ่านประวัติศาสตร์ของอียิปต์อย่างถี่ถ้วนแล้ว อย่าไปให้ความสำคัญกับสิ่งที่คนอียิปต์มองมากนัก ก่อนการปฏิวัติค.ศ.1919 เราถูกรุกรานโดยอังกฤษ ผู้นำของเราถูกเนรเทศ ผมอ่านรายงานของทางสถานทูตอังกฤษพบว่าเขาไม่ต้องการให้คนอียิปต์ต่อต้านสิ่งที่เกิดขึ้น แต่เอาเข้าจริงในวันต่อมา การปฏิวัติที่สำคัญที่สุดในตะวันออกกลางได้เกิดขึ้น!

       เวลานี้มีการประท้วงมากขึ้นบนท้องถนน ทุกคนลุกขึ้นเรียกร้องความเป็นธรรมกันหมด มันเป็นแรงกดดันได้จริงๆและคุณสามารถรู้สึกได้ แม้คุณจะอยู่ฝั่งรัฐบาลก็ตาม

            อย่างน้อยส่วนหนึ่งในความสำเร็จระดับนานาชาติของอัสวานีนั้น น่าจะมาจากการที่นิยายของเขา ซึ่งมีทุกชนชั้นของสังคมอียิปต์ ตั้งแต่บรรณาธิการหนังสือพิมพ์จนกระทั่งคนรับใช้ งานของเขาได้เปิดเผยความลับและความปรารถนาของตัวละครเหล่านี้ออกมา ทำให้เดอะ นิวยอร์ค ไทม์กล่าวว่า เราได้ ลิ้มรสมหัศจรรย์ ของสังคมอียิปต์ที่น้อยคนจะรู้

            แต่อัสวานีไม่อยากถูกเรียกว่าเป็นนักเขียนอาหรับแต่อย่างใด ผมต่อต้านการนำเสนอวรรณกรรมจากพื้นฐานชาติพันธุ์ ผมอาจจะถูกดันให้มีภาพเป็นนักเขียนอาหรับทีละน้อยๆ แต่ผมอยากนึกถึงตัวเองในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของ สาธารณรัฐวรรณกรรม มากกว่า ประเด็นเรื่องเวลาไม่สำคัญนัก แต่ประเด็นเรื่องมนุษย์สิสำคัญ นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเราต้องอ่านงานของดอสโตเยฟสกี

            ผมขอใช้คำของกาเบรียล การ์เซีย มาร์เกซ หน่อยว่า ประเด็นดีไม่ได้สร้างนิยายที่ดี หากแต่นิยายที่ดีต่างหาก ที่ทำให้ประเด็นดูน่าสนใจขึ้นมา

 

---------

เหล่านักเขียนไทยอย่าเพิ่งท้อถอย มีตัวอย่างนักเขียนที่สามารถประสบความสำเร็จในขณะที่ทำงานประจำไปด้วย ตัวอย่างเช่น :

Anthony Trollope (ค.ศ.1815-1882) เป็นพนักงานไปรษณีย์ขณะที่เขียนนิยายที่ดีที่สุดของตนเองไปด้วย เช่น Barchester Towers (ค.ศ.1857)

Kenneth Grahame (ค.ศ.1859-1932) ไต่เต้าขึ้นเป็นเลขานุการของธนาคารแห่งสกอตแลนด์ขณะเดียวกับที่ตีพิมพ์งานจำนวนหนึ่ง ก่อนที่จะเกษียณอายุในปีที่งานชื่อ Wind in the Willows ตีพิมพ์ (ค.ศ.1908)

Franz Kafka (ค.ศ.1883-1924) ทำงานในบริษัทประกันขณะที่เขียนงานวรรณกรรม เช่นงานที่โด่งดังอย่าง Metamorphosis (ค.ศ.1912)

John Mortimer (ค.ศ.1923-2009) ทำงานเป็นทนายความและเขียนนิยายไปด้วย

T S Eloit (ค.ศ.1888-1965) เป็นพนักงานธนาคารขณะที่ตีพิมพ์รวมบทกวีสี่ชุดแรกของเขา และลาออกจากงานในปีค.ศ.1925

Bernard Schlink (ค.ศ.1944-ปัจจุบัน) เป็นศาสตราจารย์ทางนิติศาสตร์และผู้พิพากษา เขียนนิยายออกมา 9 ชิ้น รวมถึงงาน The Reader ในปีค.ศ.1995

Vikas Swarup (ค.ศ.1963-ปัจจุบัน) เป็นรองอธิบดีของอินเดียประจำอยู่ที่อาฟริกาใต้ เขียนนิยายสองเล่ม เล่มหนึ่งคือ Q&A ที่ถูกนำมาทำเป็นภาพยนตร์เรื่อง Slumdog Millionaire