Sunday, March 28, 2010

คัลเชอรัล พิลกริเมจ


สุดสัปดาห์นี้น่าจะเรียกได้ว่าเป็นการแสวงบุญทางวัฒนธรรมก็ว่าได้ ช่วงหลังๆมานี้ผมไม่ค่อยบอกปัดโอกาสการลิ้มลองประสบการณ์ทางวัฒนธรรมใหม่ๆ (ที่จริงแล้วการอยู่เมืองเล็กอย่างแคนเบอร์ราก็ใช่ว่าจะมีตัวเลือกอะไรมากนัก)

วันเสาร์ที่ผ่านมาไปดูการขับร้องประสานเสียงในโบสถ์ ซึ่งเป็นการนำเอาผลงานของนักประพันธ์ชาวอังกฤษในช่วงคริสตศตวรรษที่ 16-17 อย่าง Thomas Tallis (1505-1585) William Byrd(1543-1623) และ Orlando Gibbons (1583-1625) มาขับร้อง

จริงๆแล้วในเชิงบริบท ดนตรีในโบสถ์อังกฤษยุคนี้น่าสนใจทีเดียว ผมเองค่อนข้างใหม่จึงไม่อยากเอามะพร้าวห้าวมาขายสวน เอาเป็นว่าใครมีอะไรแลกเปลี่ยนก็เชิญได้นะครับ

วันอาทิตย์ (วันนี้) เมื่อครู่นี่เองไปดูภาพยนตร์ของคุโรซาว่ามา คือ Judo Saga (1943) ซึ่งสะท้อนแนวการทำหนังของครูผู้นี้ได้มากทีเดียว

เป็นงานชิ้นที่ทำให้ร้องอ๋อ ว่าอิทธิพลของคุโรซาว่าต่อหนังทั่วโลกนั่นมีมากอย่างไร (ฉากการดวลสุดท้ายนี่ต้องบอกว่าอมตะจริงๆครับ)

นับว่าเป็นโอกาสที่ดีที่ผมจะลิ้มลองหนังของคุโรซาว่าเรื่องอื่นๆ ด้วย จริงๆอยากรู้ว่านักศึกษาภาพยนตร์ไทยพูดถึงคุโรซาว่า ว่าอย่างไรด้วย (อีกสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจคือชินโต)

การแสวงบุญอาจไม่ต้องออกไปข้างนอกเพียงอย่างเดียว แต่การกลับเข้าไปข้างในจิตใจ เราก็จะพบว่ามีสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อีกมาก

Saturday, March 20, 2010

สัมภาษณ์ปีเตอร์ แครี่


พอดีช่วงนี้อ่านหนังสือของปีเตอร์ แครี่อยู่ พอดีเห็นบทสัมภาษณ์ลงในหนังสือพิมพ์ดิ เอจ ก็เลยแปลมาแบ่งกันอ่าน เชิญครับ

--------------------
Q&A กับปีเตอร์ แครี่
โรซานนา กรีนสตรีท

ปีเตอร์ แครี่เกิดปีค.ศ.1943 ในรัฐวิคตอเรีย ออสเตรเลีย โดยพ่อแม่ของเขาเป็นตัวแทนขายรถยนต์ เริ่มแรกเขาทำงานในบริษัทโฆษณาและเขียนนิยายในเวลาว่าง เขาถูกสำนักพิมพ์ปฏิเสธนิยายสี่เรื่องแรกทั้งหมด จนกระทั่งรวมเรื่องสั้นของเขา The Fat Man in History ได้รับการตีพิมพ์ในปีค.ศ.1974 และทำให้เขาประสบความสำเร็จในชั่วข้ามคืน

เขาเขียนต่อไปจนกระทั่งได้รับรางวัล Man Booker Prize ถึงสองครั้งจาก Oscar and Lucinda (1988) และ True History of the Kelly Gang (2000) หนังสือเล่มใหม่ของเขาเพิ่งออกชื่อ Parrot and Olivier in America ออกมาปีที่แล้ว ขณะนี้เขาแต่งงานเป็นครั้งที่สาม มีลูกชายสองคนและพำนักอยู่ที่นิวยอร์ค

คุณมีความสุขที่สุดเมื่อไหร่?
ขณะนี้

กลัวอะไรที่สุด?
กลัวจะต้องขับรถข้ามสะพานซีเวอร์น

คนที่ยังมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน คุณชื่นชมใครมากที่สุด เพราะอะไร?
พี่สาวของผม เพราะขนมเมอร์แรงของเธอ

ช่วงเวลาที่น่าอับอายที่สุดของคุณคือ?
การได้รับการยกย่องอย่างสูงจากนักวิจารณ์ชาวนิวยอร์คดาฟเน เมอร์กิน หากแต่เธอกลับคิดว่าผมคือเอียน แมคอีวาน

นอกเหนือจากอสังหาริมทรัพย์ อะไรคือของราคาแพงที่สุดที่คุณเคยซื้อ?
เก้าอี้นวมตัวสวย Jorgen Kastholm Grasshopper เป็นสแตนเลส สตีล หนังฟอกสีดำ

ของมีค่าที่สุดที่คุณมี
ภาพวาดสีน้ำมันโดยเพื่อนของผมเจมส์ ดูลิน ซึ่งเสียชีวิตในปี 2002 เขาสอนผมมากพอๆกับที่งานเขียนของนักเขียนคนอื่นๆสอนผม จากบนผนังนั้น เขาก็ยังสอนผมอยู่จนทุกวันนี้

พลังสุดยอดของคุณคืออะไร?
น่าจะเป็นอะไรเกี่ยวกับเรื่องเพศ

อยากให้ใครเล่นเป็นคุณ หากจะมีการสร้างภาพยนตร์เกี่ยวกับตัวคุณ?
เลียม นีสัน

นิสัยไม่ดีที่สุดของคุณคือ?
มีคำตอบให้กับทุกสิ่ง

คำโปรดของคุณ?
Silky

การให้หรือการรับดีกว่ากัน?
ผมว่าน่าจะอย่างหลัง

ความสุขที่คุณรู้สึกผิดคืออะไร?
Poire William เย็นๆ

คุณติดหนี้อะไรพ่อแม่คุณ?
อารมณ์ขัน พลัง ความมุ่งมั่น ไม่กลัวเกรงอะไร

ใครหรืออะไรที่คุณรักที่สุด?
เธอคงทราบ

ความรู้สึกของความรักเป็นอย่างไร?
ทะเลที่เค็ม

งานอะไรที่เลวร้ายที่สุดที่เคยทำ?
ตรวจการสะกดคำของตัวเอง

หากคุณสามารถเปลี่ยนอดีตได้ คุณจะเปลี่ยนอะไร?
ผมจะเอาคอมม่าออกให้หมด

คุณพักผ่อนอย่างไร?
Lorazepam

คุณมีเซ็กซ์บ่อยครั้งแค่ไหน?
ทุกๆ 100 กว่าหน้า

อะไรคือสิ่งที่คุณทำแล้วเห็นว่าประสบความสำเร็จที่สุด?
การสร้าง มาคาโด เฟอร์นานเดซ ผู้ประพันธ์ One Man เขายังปรากฏใน Theft: A Love Story ผมหวังว่าเขาจะไม่ตื่นเต้นหากนักวิจารณ์จะขอดูงานของเขา

อะไรทำให้คุณนอนไม่หลับ?
ลูกๆที่กำลังโตของผม

คุณอยากให้มีเพลงอะไรเล่นในงานศพของคุณ?
ให้บอบ ดีแลนมา เขาจะเล่นเพลงอะไรก็ได้

คุณอยากถูกจดจำอย่างไร?
อย่างคนที่ผิดพลาดน้อยมากในชีวิต

อะไรเป็นบทเรียนสำคัญที่สุดที่ชีวิตสอนคุณ?
ว่าชีวิตเป็นครูที่น่ากลัว

คุณอยากอยู่ที่ไหนมากที่สุดเวลานี้?
ที่ๆอยู่นี่ละ แต่อยากมีผมมากกว่านี้

เล่าเรื่องตลกให้ฟังหน่อย
รัฐสองรัฐของออสเตรเลียได้พิจารณาเรื่องการกำจัดกฎหมายลิขสิทธิ์เขตแดนระหว่างรัฐสำหรับนักเขียนออสเตรเลีย

บอกความลับของคุณหน่อย
เราจะต้องตาย




หนังสือพิมพ์ดิ เอจ 13 มีนาคม 2010

Saturday, March 13, 2010

การปฏิวัติเพศสภาวะ!


มีเหตุการณ์น่าสนใจเกิดขึ้นในรัฐนิว เซาท์ เวล์ ประเทศออสเตรเลีย ซึ่งผมคิดว่ามันเป็นปรากฏการณ์ของโลกสมัยใหม่ที่น่าสนใจ บทความนี้ลงในหนังสือพิมพ์ซิดนีย์ มอร์นิง เฮอรัลด์ ผมแปลอย่างคร่าวๆมาให้อ่านครับ





ไร้เพศในเขตเมือง: การปฏิวัติเพศสภาวะ
โจเอล กิบสัน

เทศกาลมาร์ดี กราปีนี้ นอร์รีได้รับของขวัญที่ชาวไร้เพศ (ขออภัย ภาษาอังกฤษคือ androgynous แต่ผมไม่สามารถหาคำแปลที่ดีกว่านี้ได้ภายในเวลาอันจำกัด ผู้ที่ศึกษาเรื่องเพศสภาวะกรุณาแนะนำ) ในรัฐนิว เซาท์ เวลส์ไม่เคยได้มาก่อน

คืนก่อนที่จะมีการเดินขบวนพาเหรด บุรุษไปรษณีย์นำใบรับรองจากแผนกสำมะโนครัวมาให้เธอ และเพศที่ปรากฏอยู่ในใบนั้นไม่ใช่ทั้ง M และ F

หากแต่มันเขียนว่า "เพศไม่ได้ระบุ" ซึี่งทำให้ชาวซิดนีย์อายุ 48 ปีผู้นี้เป็นผู้ไร้เพศคนแรกที่ได้รับการรับรองจากรัฐนิว เซาท์ เวลส์

เพราะนอร์รีเกิดในสกอตแลนด์ (และใช้นามสกุล เมย์-เวลบี้) ใบที่ไ้ด้รับจึงไม่ใช้ใบเกิด แต่เป็น "ใบรับรองรายละเอียดของบุคคล" (Recognised Details Certificate) ที่จะให้กับผู้ย้ายถิ่นที่ต้องการแจ้งเปลี่ยนเพศ

กฎหมายยังไม่ได้รับรองผู้ที่ไม่ต้องการถูกบันทึกเพศ แต่สามารถรับรองคำขอจากนอร์รี ผู้ที่มีใบรับรองแพทย์จากหมอสองคนว่าเธอมีความไร้เพศทั้งทางจิตและทางกายภาพ

จากนั้นนอร์รีจึงเริ่มไปติดต่อหน่วยงานต่างๆที่มีบันทึกเกี่ยวกับเธอให้เปลี่ยนเพศของเธอ

"ฉันไปธนาคารเมื่อวาน และผู้หญิงคนนั้นก็ทำตาโตเมื่อเห็นใบรับรอง แล้วเธอก็บอกว่า "เป็นทางเลือกที่ดีนะ" นอร์รีบอกเมื่อวานนี้

เซนเตอร์ลิงค์ [หน่วยงานรัฐบาลที่ดูแลเรื่องสวัสดิการของชาวออสเตรเลีย] เกิดสับสน และต้องเรียกโปรแกรมเมอร์มาช่วย แต่ก็ยินดีจะช่วยเหลือ

นอร์รีจดทะเบียนเป็นเพศชายเมื่อแรกเกิด และเริ่มใช้ฮอร์โมนเมื่ออายุ 23 จากนั้นก็ผ่าตัดแปลงเพศเป็นหญิง และก็เริ่มเลิกใช้ฮอร์โมน ใช้ชีวิตอย่างปฏิเสธการมีทั้งสองเพศจากนั้นมา

"รายละเอียดพวกนี้ไม่เห็นจะต้องอยู่ในอัตลักษณ์ของฉัน" ไม่ใช่ทั้งเขาและเธอกล่าว (นอร์รีอยากให้เรียกว่า"เขอ" หรือ "เธา" [Zie])

"ฉันคิดว่ายังมีคนอีกมากที่อยากได้ใบรับรองนี้ และก็ไม่ใช่เพียงผู้คนที่มีลักษณะทางกายภาพพิเศษ ผู้หญิงหลายคนคงอยากได้ เพราะการระบุเพศนำไปสู่การกีดกัน"

โฆษกของสำนักงานอัยการสูงสุดออกมากล่าวว่า นี่เป็นครั้งแรกที่รัฐออกใบรับรองดังกล่าว และแม้แต่เด็กที่คลอดออกมาแล้วมีสองเพศ ก็ต้องถูกระบุเพศให้ได้ไม่กี่สัปดาห์หลังคลอด

เทรซี่ โอคิฟฟี จากกลุ่มเพศที่สามและการให้ความรู้เรื่องเพศสภาวะ เรียกว่ามันเป็นการทำลายการปฏิบัติแบบเดิมที่อันตรายลง สำหรับเด็กที่เกิดมาแล้วพ่อแม่และหมอสับสน จนสุดท้ายก็ต้องผ่าตัด

ชาวคาธอลิก โทนี ฟิลิปปินี จากสถาบันจอห์น ปอลที่สอง ออกมากล่าวว่าใบเกิดควรระบุว่าไม่มีเพศ

เขายังกล่าวต่อว่า มีแนวโน้มการต่อต้านการเลือกเพศใดเพศหนึ่งสำหรับเด็กที่เกิดมามีสองเพศ ซึ่งอาจหมายความว่าเด็กไร้เพศจะเกิดมากขึ้นในอนาคต


ซิดนีย์ มอร์นิง เฮอรัลด์ 12 มีนาคม 2010

Tuesday, February 2, 2010

ซาลินเจอร์ สงครามชีวิตและไฟไหม้น้ำ


ตั้งชื่อโพสต์ผสมปนเปกันอย่างนี้ไม่ได้มีจุดประสงค์อย่างอื่น นอกเสียจากจะเล่าถึงประสบการณ์การอ่านเท่านั้นละครับ

ผมไม่มีเวลาจะได้นั่งละเลียดงานวรรณกรรมเท่าไหร่เลยในช่วงนี้ เอาเป็นว่าจะแค่เล่า้สู่กันฟังก็แล้วกัน


ผมเคยอ่านงานของเจ ดี ซาลินเจอร์เพียงงานเดียวเท่านั้นละครับ หนีไม่พ้น The Catcher in the Rye (1951) ซึ่งก็คงเหมือนใครๆที่อยากจะเริ่มอ่านงานของเขา

แต่ที่สำคัญกว่านั้น ในความทรงจำของผม นั่นคือหนังสือภาษาอังกฤษเล่มแรกที่ผมอ่านจนจบตั้งแต่ตัวอักษรแรกยันตัวสุดท้าย

ผมจำได้ว่าซื้อหนังสือเล่มนี้จากศูนย์หนังสือจุฬาฯ สยามฯ (ชั้นลอยจะเป็นหนังสือภาษาอังกฤษ) ด้วยเงินเก็บของตัวเิอง ไม่แน่ใจว่าสำนักพิมพ์อะำไร ปกขาวล้วน

เหตุผลหนึ่งที่เลือกก็เพราะเล่มมันบางดี เปิดอ่านไปหน้าสองหน้าแล้วก็พอเข้าใจ

ผมใช้เวลาไม่นานนักนั่งอ่านจนจบ แล้วก็รู้สึกว่าหนังสืออ่านง่ายดี ไม่ได้ใช้ศัพท์แสงอะไรยากเย็นนัก

ไม่รู้มาก่อนเลยว่างานชิ้นนี้ำโด่งดังแค่ไหน และไม่รู้ว่ามันไปเป็นแรงบันดาลใจในการสังหารศิลปินใหญ่ (ขอเสริมตรงนี้นิดหนึ่ง : คือผมคิดว่าการโปรยคำขายหนังสือประเภทว่า "หนังสือที่เป็นแรงบันดาลใจของฆาตกรที่ฆ่าจอห์น เลนนอน" หรืออะไรเทือกนี้ เป็นวิธีทางการขายที่งี่เง่า ไร้ความรับผิดชอบ การพยายามเพิ่มยอดขายโดยสร้างภาพหนังสือเล่มนี้ให้เป็นเช่นนั้น ยิ่งจะปิดโอกาสให้เกิดการตีความใหม่ๆ [อันที่จริงงานของทรูแมน คาโพทีเองก็ถูกอ่านโดยฆาตกรเช่นกัน] ถ้าอย่างนั้นเราโฆษณาหนังสือที่นายพลบางคนชอบอ่านแล้วโฆษณาว่า "หนังสือที่เป็นแรงบันดาลใจของการสังหารหมู่" อะไรแบบนี้ดีไหม?)

เมื่อรู้ข่าวการตายของซาลินเจอร์ ผมจึงนึกถึงเรื่องเหล่านี้ขึ้นมา ก็เท่านั้น...


เรื่องต่อมาผมเพิ่งอ่าน สงครามชีวิต งานสำคัญอีกชิ้นหนึ่งของศรีบูรพาจบไป (พิมพ์ครั้งที่แปด กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์กอไผ่, 2522 พิมพ์ครั้ืงแรกปีีัพ.ศ.2475) ซึ่งว่ากันว่างานชินนี้ได้ีรับอิทธิำพลมาจากงาน Poor Folk ของดอสโตเยฟสกี

ฉบับพิมพ์ครั้งที่แปดมีแุถมบทวิจารณ์ของรุ่งวิทย์ สุวรรณอภิชนด้วย ก็ทำให้ได้รู้บริบทอยู่บ้างพอสมควร

ถ้าจะให้พูดอะไรบ้างก็อยากบอกแค่ว่า อยากรู้เหลือเกิน หากเรื่องดำเนินต่อไป ระพินทร์จะทำอย่างไร และเพลินจะกลับมาหาเขาหรือไม่

แต่จบเท่านั้นก็ได้ประเด็นครบถ้วนแล้วละครับ


เรื่องสุดท้ายเพิ่งอ่านจบไปเมื่อครู่นี้เอง รวมเีีิรื่องสั้น ไฟไหม้น้ำ ของราชามนัส จรรยงค์ (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์ประพันธ์สาส์น, 2518 ราคาสิบบาทในสมัยนั้น)

ยิ่งอ่านงานแก ผมก็ยิ่งรู้สึกว่าแกนำสมัย ส่วนเรื่องประสบการณ์ รายละเอียดก็เป็นจุดแข็งของแกอยู่แล้ว

เรื่องส่วนในชุดนี้เป็นชีวิตของคนต่างจังหวัดล้วนๆ ไำ้ด้อารมณ์มาก ภาษาเดี๋ยวนี้ก็ต้องบอกว่้า "บ้านๆ" มาก ผมว่าเ้ด่นกว่างานรวมเรื่องสั้นบางชุด (ไม่รวมชุด "จับตาย") ด้วยซ้ำไป

เพิ่งรู้ว่า "นั่งตูบ" หมายความว่าอะไรวันนี้เอง

Saturday, January 16, 2010

ส.ค.ส.ปีใหม่


"ปีใหม่ฝรั่ง" หรือ "ปีใหม่สากล" เวียนมาถึงอีกครั้ง เห็นตามธรรมเันียมจะมีการส่งความสุขกันด้วยข้อคิดดีๆ (?) โดยเฉพาะจากบุคคลสำคัญทั้งหลาย


โดยการให้ข้อคิดในช่วงปีใหม่ ได้กลายไปเป็นหน้าที่สำหรับกลุ่มคนที่มีทุนทางสังคมมหาศาลช่วยชี้แนะชาวไทยให้ปฏิบัติตนอย่างถูกต้องตาม "ศีลธรรม" ชุดหนึ่งที่เป็นหลักควบคุมสังคมไทยเอาไว้


"บ้านเขตดุสิต" จึงขอตามกระิแสไปด้วยคนหนึ่้ง แม้จะตระหนักว่าไม่มีทุนทางสังคมใดๆเทียบเหล่าท่านผู้ซึ่งมากด้วยบารมี แต่จะขอเสือกส.ค.ส นี้ไปถึงคนธรรมดาๆ ที่เชื่อว่าเรามีความเท่าเทียมกันตามปรัชญาพื้นฐานของสังคมประชาธิปไตย (แม้จะมีคนไม่เชื่อก็ตาม)


พอดีัช่วงเวลานี้อ่านนิตยสารเป็นนิตย์ แต่ไม่ได้เป็นนิตยสารของปัจจุบัน เป็นสิ่งพิมพ์ที่อ่านแล้วสนุกมาก และหาอ่านได้ยากด้วย นั่นก็คือ จดหมายเหตุสยามไสมย ของหมอสมิธ นั่นเอง (สำนักพิมพ์ต้นฉบับนำมาพิมพ์เพื่อรักษาเอาไว้ หน้าปกหนังสวยงาม นับเป็นอีกหนึ่งความพยายามที่ดีเยี่ยม โดยมีทั้งหมดสามเล่ม เล่มแรกเป็นต้นฉบับเล่ม ๑ และ ๒ รวมกัน ซึ่งเป็นจดหมายเหตุฯที่พิมพ์เมื่อ พ.ศ.๒๔๒๕-๖ เล่มสองเป็นต้นฉบับเล่ม ๓ (พ.ศ.๒๔๒๗) และเล่มสุดท้ายเป็นต้นฉบับเล่ม ๔ (พ.ศ.๒๔๒๘) โดยแรกเริ่มพิมพ์เป็นรายเดือนในปีแรก ปีต่อมาเป็นรายปักษ์ และรายสัปดาห์ตามลำดับ)

พอดีในฉบับหนึ่งมีลงนิทาน "คำเปรียบด้วยตัวฬา" ลงในเล่มที่ ๑ แผ่นที่ ๑๑ หน้า ๑๑ (ตัวเลขเป็นมงคลอย่างนี้ ซื้อหวยได้เลย อ้อ! ต้องรีบๆนะครับ เขาจะให้เลิกมีหวยแล้ว)

ก็ขอลักมาเป็นส.ค.สเสียเลย (สะกดตามต้นฉบับ)
มีคนช่างทำแป้งเข้าสาลีคนหนึ่ง กับบุตรชายคนหนึ่ง ได้ไล่ฬ่าตัวหนึ่งไปขายที่ตลาด ครั้นเมื่อไปได้่หน่อยหนึ่ง จึ่งได้ภบพวกหญิงสาวหลายคน แล้วพวกหญิงนั้นครั้นเห็นชายเจ้าของฬาสองคนพ่อลูกนั้น เดิรตามฬาไป จึ่งหัวเราะเยาะแล้วพูดกันว่า เรายังไม่้เคยเหนคนโง่เขลาเหมือนเช่นนี้เลย ครั้นพอได้ยินดังนั้น จึ่งให้ลูกขึ้นขี่ฬาไป แต่ตัวพ่อนั้นเิดิรตามฬาไป ครั้นไปอีกหน่อยหนึ่งจึ่งภบคนแก่เถีัยงกันอยู่ ครั้นคนแก่นั้นได้เหนลูกชายนั่งไปบนหลังฬา แต่พ่อนั้นเดิรไปจึ่งพูดกันว่าท่านได้เหนคนโฉดนั้นนั่งไปบนหลังฬาฤๅไม่ การนี้เปนความดูหมิ่นคนแก่หนักหนา อ้ายเดกซุกซนเอ๋ย จงลงเสียจากหลังฬาเถิด ครั้นเด็กนั้นได้ยินแล้วจึ่งโจนลงเสียจากหลังฬา แล้วจึ่งให้บิดาขึ้นไปนั่งบนหลังฬา ครั้นไปได้ประมาณครู่หนึ่ง ตามหาดทราย จึ่งไปภบหญิงทำการอยู่้หลายคน เขาร้องว่าชายคนนี้ไม่มีใจเอนดูลูกบ้างเลย ให้ลูกลงเดิรไปตามหาดทรายที่ลุ่มฦกนัก ส่วนตัวนั้นขึ้นนั่งไปบนหลังฬาสบายแต่ตัวผู้เดียว ครั้นเมื่อคนช่างทำแป้งเข้าสาลีนั้นได้ยิน จึ่งเรียกให้ลูกขึ้นไปนั่งบนหลังลาด้วยกันทั้งสองคน มาตามทางโดยลำดับจวนใกล้ถึงตลาด จึ่งปะคนเลี้ยงแกะ เขาจึ่งถามว่านี่เปนฬาของท่านดอกฤๅ เขาตอบว่าเปนของเราเอง ฝ่ายคนข้างอื่นนั้นตอบว่า เีราคิดว่าฬานี้มิใช่เปนของท่าน เพราะการที่ท่านไำด้บันทุกตัวหนักนัก ที่ท่านกับลูกได้ขึ้นนั่งไปบนหลังฬานั้น ควรที่ท่านทั้งสองจะยกสัตวนั้นไป ฝ่ายคนทั้งสองครั้นได้ยินดั่งนั้นก็ลงเสียจากหลังฬา แล้วเอาเชือกมาผูกท้าวฬ่่าเข้า แล้วก็หามไปตามทาง ถึงที่แห่งหนึ่งก็มีคนแตกตื่นกันมาดู เพราะเปนการชอบกล ครั้นพ่ิอลูกหามลาไปถึงตพาน ลาก็ดิ้นเชือกลุดตกน้ำตาย ฝ่ายเจ้าของฬาก็ภากันกลับไปบ้านของตน จึ่งคิดเสียใจ ด้วยเสียดายฬาเปนกำลัง แล้วว่าทีหลังเราจะไม่คิดกระทำตามถ้อยคำท่านทุกๆคนอีกเลย...
ผมขอหยุดเอาไว้เท่านี้ ส่วนที่้เป็นข้อคิดนั้นคงจะต้องให้ท่านนำไปคิดต่อเอง เพราะสังคมที่แข็งแรงต้องเปิดให้มีความคิดอันแตกต่างหลากหลาย แล้วมาถกเุถียงกันด้วยเหตุด้วยผล ไม่ใช่ชี้นำให้คิดอยู่แบบเดียว ใครคิดต่างถือว่าผิด เหมือนที่เป็นอยู่ทุกวันนี้

คงไม่มีของขวัญปีใหม่อะไรดีไปกว่าการสิ้นสุดลงของความจิตใจคับแคบในสังคมไทย

Saturday, December 12, 2009

เกร็ดเก่าว่าด้วยเรื่องทักอ้วนผอม



ขณะที่ผมไล่เรียงดูเนื้อหาของราชกิจจานุเบกษา บังเอิญไปพบเข้ากับเรื่องน่าสนใจว่าด้วยการใ้ช้สัณฐานเป็นคำเรียก เป็นประกาศในสมัยร.4 จึงอยากแบ่งปันกับท่านสนุกๆครับ

ผมขอยกเนื้อหาทั้งหมดนี้มาลงตามต้นฉบับ (จากราชกิจจานุเบกษา พ.ศ.2417 เล่ม 1 แผ่นที่ 19)

ประกาศแผ่นดินพระบาทสมเดจพระจอมเกล้าฯ ว่าด้วยทักอ้วนผอม

มีพระบรมราชโองการมารพระบัณฑูรสุรสิงหนาท ให้ประกาศว่า การที่มีผู้ปราไสทักทายเจ้านายผู้มีบันดาศักดิ์สูง ด้วยการในพระกายทักว่าอ้วนผอมนี้ เปนอัปมงคลไม่ควรตามเหตุที่อ้างเปนหลายประการ คือคำว่าอ้วนว่าผอมเปนคำหยาบคำต่ำคำเลวประการหนึ่ง คืออาการที่ควรจะวิตกเปนประมาณว่าดีว่าชั่วในสัตวเดียรฉาน มาพูดมาเจรจาในมนุศย มีศักดิ์สูงไม่มีประโยชนประการหนึ่ง คือทำให้กำเริบมิ่งขวัญของกายผู้มีศิริด้วยการเจรจาขัดแก่การที่โบราณห้ามมาประการหนึ่ง ซึ่งว่าคำว่าอ้วนว่าผอมเปนคำต่ำคำเลวคำหยาบนั้น ฟังเอาเถิดปากผู้ดีๆที่มีอัทธยาไศรย เมื่อเขาจะต้องพูดว่าเจ้านายผอมไปแลอ้วนขึ้น เขาก็ย่อมว่าซูบพระองค์แลทรงพระเจริญ ฤๅพ่วงพีดังนี้ โดยมากเขาไม่ว่าอ้วนว่าผอมมิใช่ฤๅ อนึ่งเปรียบความให้เหนตัวอย่างในถ้อยคำเหมือนเจ้าจอมมารดาศรีในพระเจ้าพี่นางเธอ พระองค์เจ้าบุพผา คือเจ้าจอมที่เปนบุตรเจ้าพระยาศรีธรรมาธิราช แลเป็นน้องเจ้าพระยาอภัยภูธร แลพระยาอนุชิตชาญไชยขุนทอง แลเปนอาเจ้าพระยายมราช พระยาเสนาภูเบศรบัดนี้ แลพระยาอนุชิตชาญไชยหนูแลอื่นๆนั้น เมื่อแผ่นดินพระบาทสมเดจพระพุทธเลิศหล้านภาไลย เจ้าจอมมารดาศรีเปนเจ้าจอมมารดาผู้ใหญ่ ทรงพระกรุณาโปรดให้ว่าราชการฝ่ายในต่างโดยมาก ท่านทั้งหลายทั้งปวงตลอดลงไปจนไพร่เลวยำเยงเกรงกลัวนับถือมาก เมื่อจะเรียกออกชื่อเดิมว่าคุณศรี เจ้าคุณศรีก็กระดากปาก จึงอาไศรยเอาสัณฐานกายเจ้าจอมมารดานั้น ซึ่งแปลกกันกับสัณฐานกายคุณนุ่นพระบรมญาติ ที่เรียกว่าเจ้าคุณวังหลวง ผู้ว่าราชการในพระราชวังโดยมากเหมือนกันนั้น เปนที่อ้างแล้วจึงเรียกนามแปรไปว่าเจ้าคุณพี ชื่อนี้ก็ยังแจ้งอยู่แก่เหล่าหลานแลญาติสืบมาคิดดูเถิด ถ้าคำว่าอ้วนว่าผอมเปนคำดีเขาจะยักว่าเจ้าคุณพีทำไม เขาจะมิเรียกว่าเจ้าคุณอ้วนฤๅ อนึ่งเมื่อเรียกข้างเจ้าจอมมารดาศรีว่าเจ้าคุณพีแล้ว คุณนุ่นพระบรมญาติผู้ว่าราชการตั้งเปนคู่กัน ก็ควรจะเรียกว่าเจ้าคุณผอม เพราะว่าผอมเปนคำต่ำ จึงเรียกว่าเจ้าคุณวังหลวงโดยเทียบกับคุณคุ้มผู้น้องท่านนั้น ซึ่งเปนผู้ใหญ่ว่าราชการในพระบวรราชวัง มีผู้เรียกว่าเจ้าคุณวังน่า แลคุณกระต่ายน้องท่าน ซึ่งในเวลานั้นไ้ด้เปนผู้ใหญ่ในข้าหลวงในเจ้าฟ้ากรมหลวงเทพยวดี ซึ่งเสดจอยู่ที่พระปรัดซ้ายแลพระที่นั่งวิมานรัฐยา ซึ่งนับเนื่องในหมู่พระมหาปราสาทนั้นว่าเจ้าคุณปราสาท ก็ซึ่งข้อว่าเอาการที่ควรจะวิตกเปนประมาณ ว่าดีว่าชั่วในสัตวเดียรฉานมาพูดมาเจรจาว่าในมนุศยมีศักดิ์สูง ไม่มีประโยชนนั้น คือว่าให้เหนด้วยกันว่าการที่จะวิตกแล้วแลติว่าผอมเปนชั่วสรรเสริญว่าอ้วนเปนดีเปนประมาณของประโยชนนั้น ต้องการในสัตวเดียรฉานสองจำพวก คือสัตวที่จะเปนพาหนะจำพวกหนึ่ง สัตวที่จะต้องการเนื้อที่เรียกว่ามังสะ เปนอาหารจำพวกหนึ่ง เมื่อผู้ใดจะซื้อหาช้างม้าโคกระบืออูฐลา ซึ่งเปนพาหนะจะใช้แรง ก็ย่อมสรรเสริญสัตวที่อ้วนติสัตวที่ผอม สัตวที่อ้วนมีราคามากสัตวที่ผอมมีราคาน้อย ถึงสัตวที่เปนอาหาร คือสุกรแพะแกะแลสมันกวางกวางซายตลอดลงไปจนเปดไก่แลปลา บันดาที่จะใช้เนื้อเปนอาหารผู้ซื้อหาต้องการ ก็เลือกหาสัตวที่อ้วนเพราะมีเนื้อมากสัตวที่อ้วนมีราคามาก เพราะสัตวที่ผอมเปนที่สงไสยว่าเปนสัตวมีโรค ก็ความอ้วนความผอมนั้น เมื่อมาพิจารณาในมนุศย แม้นในคนที่จะใช้แรงเปนทาษกรรมกร ฤๅทหารแลคนมวยคนปล้ำต่างๆ มัชฌิมบุรุศคือคนสัณฐานกลางนั้นเปนดี คนอ้วนนักเมื่อเปนทาษวิ่งตามนายไม่ไหว ใช้ปีนป่ายขึ้นร่างร้านหลังคาไม่ได้มักหอบฮ่อแฮ่อยู่ ถ้าเปนมวยเปนปล้ำถูกเตะถูกชกหกล้มลงลุกไม่ขึ้น ถ้าผอมนักใช้แบกใช้หามของใหญ่ของหนักไม่ใคร่ได้โรเรนัก ถ้าเปนมวยเปนปล้ำแรงน้อยไปชกเขาไม่แตกเตะเขาไม่ล้ม แต่ผู้ที่สรรเสริญติคนผอมนั้น ดูเหมือนที่จะว่าคนอ้วนอายุยืนคนผอมอายุสั้น การนั้นก็ไม่เปนจริงไม่เปนประมาณ จีนชื่นที่เปนพระยาพิสาลศุภผล ที่เปนผู้อ้วนอย่างเอก อายุอ่อนกว่าพระมหาคงซึ่งเปนพระราชกระวี ซึ่งเปนผู้ผอมอย่างเอกนั้นถึง ๓๒ ปี ก็เหตุไรเล่าพระยาพิสาลศุภผลจึ่งตายไปก่อนพระราชกระวี ก็ข้อที่ว่าทำให้กำเริบมิ่งขวันของกายผู้มีศิริด้วยการเจรจาขัดแก่การที่โบราณห้ามมานั้น ให้สืบสังเกตเอาเถิดคนที่เลี้ยงเดก ต่อหน้าเดกนั้นเขาไม่ว่าอ้วนว่าหนักว่าน่ารักน่าชม เพราะว่าดีมักกลับเปนร้าย แต่ซึ่งว่าซูบว่าผอมไปนั้นบิดามารดาและญาติพี่เลี้ยงเดกมักวิตก เพราะเหตุที่่ว่าเดกไม่รู้จักรักษาตัว การที่รักษาตัวเดกนั้นเปนธุระของผู้ใหญ่ที่จะหาหมอมาประกอบยาแลขู่เขนขืนใจให้เดกกิน ก็ผู้ใหญ่ทั้งปวงนั้นชีวิตรของเขาๆก็รัก เมื่อจะสบายไม่สบายตัวเขารู้ก่อนผู้อื่น กายของเขาๆก็เหนอยู่เป็นนิตย์ด้วยส่องกระจกอยู่ทุกวัน ถึงที่ไหนจะไม่มีกระจก ก็หาน้ำใส่ขันส่องดูหน้าดูรูปของตัวเปนธรรมดา ไม่ต้องการที่ผู้อื่นจะปราไสล่วงเกินเข้ามา ถ้าทักหยอกว่าสีสะล้านดีกว่า เพราะพูดเปนการเล่น ไม่เอื้อมถึงชีวิตรชีวัง แลผู้พูดไว้ตัวสูงเปนเหมือนดังบิดามารดา สบประมาทเจ้าของกายผู้ที่ต้องทักนั้น ให้เปนเหมือนดังเดกๆไม่รู้จักรักษาตัว ก็ท่านทั้งหลายทั้งปวงบัดนี้ไม่ใคร่จะสังเกตการเรื่องนี้ทักได้ทักเอา จนถึงในพระเจ้าแผ่นดินที่มีพระเดชานุภาพเปนที่ล้นที่พ้น ก็ยังล่วงเกินกราบทูลทักทายเนืองๆ ไม่ระวังว่าเปนการต่ำสูงเกินเลย การทักทายอย่างนี้มักมีมาแต่พระสงฆแลหมอแลท่านผู้ใหญ่ๆข้างในข้างน่า เพราะฉนั้นบัดนี้จึ่งมีพระบรมราชโองการให้ประกาศห้าม อย่าให้ใครล่วงเกินทักทายอย่างที่ว่าแล้ว ทั้งพระสงฆแลคฤหัฐชาววัดชาววา ถ้าพระสงฆจะเข้ามาในพระราชถานวันใดเวลาใด ให้สังฆการีเชิญพระราชบัญญัตินี้ มาว่ากล่าวเตือนสติให้ระวัง ด้วยพระสงฆมักฟั่นๆเฟือนๆไหลๆเลื่อนๆ ฝ่ายข้าราชการผู้ใหญ่ๆสูงอายุเล่า ก็ให้กรมวังคอยเตือนห้ามปราม อย่าให้กราบทูลทักทายเกินเลยได้ หมอถวายอยู่งานถวายพระโอสถมักใกล้ที่จะกราบทูลอย่างนี้ เมื่อเวลาไรเรียกหมอ ให้ชาวที่คอยกำชับให้ระวัง อย่าให้กราบทูลทักทายได้ ถ้าผู้ใดมิฟังขืนกราบทูลทักทายดังนี้ จะให้ลงพระราชอาญาทวนด้วยไม้หวาย ๕๐ ที สังฆการีแลชาวที่แลกรมวังอยู่ในเวนที่เกิดเหตุขึ้นนั้น จะต้องให้รับพระราชอาญาด้วยคนละ ๓๐ ที ๒๐ ที ตามโทษานุโทษที่ได้ตักเตือนบ้างแลไม่ได้ตักเตือนเลย ตามสฐานที่ผู้กำกับนั้นคือถ้าในพระสงฆจะลงโทษแก่สังฆการี ถ้าในหมอจะลงโทษแก่ชาวที่ ถ้าในข้าราชการจะลงโทษแก่กรมวัง ถ้าท่านผู้ใดที่ไม่ควรจะรับพระราชอาญา คือพระสงฆก็จะให้มีเบี้ยปรับถ่ายโทษคน ถึงในข้าราชการฝ่ายในเล่าเมื่อท้าวนางฤๅท่านอื่นๆจะภาผู้ใดเข้าเฝ้า ก็ให้คอยตักเตือนห้ามปรามกำชับผู้นั้นก่อน ถ้าเกิดเหตุขึ้นเพราะผู้ที่เข้าเฝ้า จะลงโทษแก่ผู้ที่นำเฝ้านั้นด้วยตามโทษานุโทษ ประกาศมา ณ วันเสารเดือนหกขึ้นห้าค่ำ ปีจอ จัตวาศก ศักราช ๑๒๒๔ เปนวันที่ ๔๐๐๗ ในราชการประจุบันนี้
ยาวหน่อยนะครับ แต่ได้บรรยากาศ ผมอ่านไปยิ้มไปด้วยทีเดียว

Sunday, December 6, 2009

โพสต์อิมเพรสชั่นนิสม์


เป็นโอกาสอันดีเหลือเกินครับ ที่เมืองเล็กๆอย่างแคนเบอร์ราได้จัดแสดงงานศิลปะระดับโลก โดยเป็นการนำผลงานของศิลปินกลุ่มโพสต์อิมเพรสชั่นนิสม์ จากพิพิธภัณฑ์ Musée d'Orsay มาแสดงที่ the National Gallery of Australia (เพียงที่เดียวในออสเตรเลียด้วย)

ถือว่าเป็นงานใหญ่ของเมืองทีเดียว ผมจึงถือโอกาสแวะไปชมเสียเลย


เป็นครั้งแรกๆที่ผมเริ่มรู้จักงานกลุ่ม
โพสต์อิมเพรสชั่นนิสม์และศิลปินที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่มนี้ ซึ่งจริงๆแล้วหากเราต้องการจะรู้ว่ากลุ่มนี้คืออะไร ก็เพียงค้นหาในสารานุกรมวิกีพีเดียก็จะได้ทำความรู้จักงานของกลุ่มนี้อย่างไม่ยากเย็นนัก (ต้องตรวจสอบกับแหล่งอื่นๆด้วยนะครับ)

แต่ผมได้มีโอกาสฟังผู้เชี่ยวชาญทางด้านประวัติศาสตร์ศิลปะจากฝรั่งเศสพอดี (ขออภัย ผมจำชื่อเขาไม่ได้) ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการทำความเข้าใจประวัติศาสตร์ศิลปะจากช่วงอิมเพรสชั่นนิสม์ต่อเข้าช่วงโพสต์อิมเพรสชั่นนิสม์สำหรับคนที่ไม่ได้อยู่ในวงการได้ดี

เขาต้องการจะบอกว่า แท้จริงแล้ว การเปลี่ยนผ่านจากช่วงอิมฯสู่ช่วงโพสต์อิมฯนั้น ไม่ได้ชัดเจนอย่างที่เข้าใจกัน

ผู้ที่เริ่มใช้คำว่าโพสต์อิมฯ คือโรเจอร์ ฟราย นักวิจารณ์ศิลปะชาวอังกฤษในปีค.ศ.1910 ซึ่งนักวิจารณ์ศิลปะยุคหลังมาเข้าใจว่า โพสต์อิมฯนั้นเป็นจุดสิ้นสุดของอิทธิพลจากงานมาเนต์ ซึ่งศิลปินยุคหลังมาแหวกข้อจำกัด (ที่เคยเป็นของอิมฯ) ออกไป

เขาเสนอว่าแท้จริงแล้วอิทธิพลของมาเนต์ต่องานโพสต์อิมฯนั้นมีมากกว่าที่หลายๆคนคิด

อันที่จริงเรื่องการแบ่งกลุ่มเช่นนี้ก็มีอยู่ทั่วไปในศาสตร์ทุกแขนงนะครับ มันมีจุดประสงค์เพื่อต้องการแสดงให้เห็นความแตกต่างของสายสกุลคิดในสำนักต่างๆ เพื่อสร้าง "ภาพรวม" เท่าันั้น เพื่อให้ง่ายขึ้นต่อความทำความเข้าใจพัฒนาการของศาสตร์นั้นๆอันมีความสลับซับซ้อน ก็เหมือนการแปะป้ายเอาไว้เพื่อเวลาคนอื่นๆหยิบมาใช้ศึกษาจะได้ง่ายขึ้นในการจัดระบบการทำความเข้าใจ

แต่จะเป็นเรื่องผิดอย่างมากหากมองสำนักต่างๆแยกกัน และวิเคราะห์โดยใช้แนวความคิดใดความคิดหนึ่งไปโดดๆ (ตัวอย่างเช่นการหยิบฟูโกต์มาใช้ดูละครน้ำเน่าไทย หยิบการหยิบอากัมเบนมาใช้ดูชาวเขา เป็นต้น) ควรจะต้องระวังอย่างหนักว่าทฤษฎีไม่ไ้ด้ใช้เพื่อประยุกต์ หากแต่มันใช้เพื่อตั้งคำถามต่างหาก การพยายามสร้างคำอธิบายในการเปลี่ยนแปลงจึงต้องคำนึงถึงเรื่องเหล่านี้เป็นสำคัญ

เห็นไหมครับ งานศิลปะงานเดียว คิดอะไรไปได้ทั่วทีเดียว